สรุปการพัฒนารูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model เพื่อส่งเสริมสมรรถนะครูยุคใหม่

สรุปการพัฒนารูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model เพื่อส่งเสริมสมรรถนะครูยุคใหม่

บทสรุปสำหรับศึกษานิเทศก์

ผลการสังเคราะห์ข้อมูลสำคัญจากงานวิจัยเรื่อง “การพัฒนารูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model ที่ส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่ (Modern Teacher)” มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการนิเทศที่ตอบสนองต่อความท้าทายของการศึกษาในศตวรรษที่ 21 และยุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนโฉมครูสู่ “ครูยุคใหม่”

จากการศึกษาพบว่า สภาพการนิเทศในปัจจุบันยังอยู่ในระดับปานกลาง ในขณะที่ครูมีความคาดหวังต่อการนิเทศในระดับสูงสุด โดยเฉพาะความต้องการให้มีการกำหนดปัญหาและความต้องการที่จำเป็นร่วมกันก่อนการนิเทศ เพื่อแก้ไขช่องว่างดังกล่าว ผู้วิจัยได้พัฒนารูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model ซึ่งเป็นกระบวนการที่เป็นระบบและต่อเนื่อง ประกอบด้วย 6 ขั้นตอนหลัก: วิเคราะห์ตรวจสอบ (Scan), กำหนดกลยุทธ์ (Set Strategies), นำสู่การนิเทศ (Start to Implement), ประเมินความสามารถ (Performance Assessment), ส่งเสริมสนับสนุน (Promote), และขยายผลความสำเร็จ (Powerful & Develop)

ผลการทดลองใช้รูปแบบดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ครูที่เข้าร่วมโครงการมีการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ที่สำคัญ 3 ด้านอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ด้านเทคนิคการจัดการเรียนรู้ (Pedagogy), ด้านเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ (Technology), และด้านการประเมินผลเพื่อการเรียนรู้ (Assessment) นอกจากนี้ ผลการประเมินประสิทธิผลของรูปแบบ 3S3P พบว่าอยู่ใน ระดับมากที่สุด ในทุกมิติ ทั้งด้านการใช้ประโยชน์, ความเป็นไปได้, ความเหมาะสม, และความถูกต้อง ซึ่งยืนยันว่ารูปแบบการนิเทศนี้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการยกระดับคุณภาพครูและส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของผู้เรียน

ความเป็นมาและภูมิหลังของงานวิจัย

บริบทการศึกษาไทยในปัจจุบันเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ ซึ่งสอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561-2580 ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพและทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการเปลี่ยนโฉมครูให้เป็น “ครูยุคใหม่ (Modern Teacher)” ที่สามารถปรับบทบาทจากผู้สอน (Teacher) มาเป็นโค้ช (Coach) หรือผู้อำนวยการการเรียนรู้ (Learning Facilitator) เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)

อย่างไรก็ตาม ผลการประเมินและการนิเทศการศึกษาในพื้นที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี พบประเด็นที่ควรพัฒนาอย่างเร่งด่วนหลายประการ:

  • ครูส่วนใหญ่ยังคงจัดการเรียนรู้แบบเชิงรับ (Passive Learning) ซึ่งไม่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาผู้เรียน
  • ผู้บริหารและครูขาดความตระหนักและความต่อเนื่องในการนิเทศติดตาม
  • ครูจำนวนมากมีมุมมองเชิงลบต่อการนิเทศ โดยมองว่าเป็นการจับผิดและเพิ่มภาระงาน

จากปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยในฐานะศึกษานิเทศก์จึงได้พัฒนา รูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model ขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่ให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง เช่น การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสมรรถนะครู 3 ด้านหลัก คือ เทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ (Pedagogy), การใช้เทคโนโลยี (Technology), และการประเมินผลเพื่อการเรียนรู้ (Assessment)

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

  1. เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่คาดหวัง และความต้องการได้รับการนิเทศที่ส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่ (Modern Teacher)
  2. เพื่อพัฒนารูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model ที่ส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่
  3. เพื่อทดลองใช้รูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model
  4. เพื่อประเมิน เผยแพร่และขยายผลรูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model

ระเบียบวิธีวิจัย

งานวิจัยนี้เป็นรูปแบบการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ซึ่งแบ่งกระบวนการออกเป็น 4 ระยะอย่างชัดเจน

ระยะที่รายละเอียดการดำเนินงานกลุ่มเป้าหมายเครื่องมือที่ใช้
1ศึกษาสภาพปัจจุบันและ ความต้องการ
ศึกษาสภาพการนิเทศในปัจจุบัน สภาพที่คาดหวัง และความต้องการจำเป็นในการรับการนิเทศของครู
ผู้บริหารและครู จำนวน 330 คน ในสังกัด สพม.นนทบุรีแบบสอบถาม
2พัฒนารูปแบบการนิเทศ 3S3P
วิเคราะห์ สังเคราะห์ และตรวจสอบคุณภาพขององค์ประกอบ ตัวบ่งชี้ และร่างรูปแบบการนิเทศ
ผู้บริหาร ครู และผู้เชี่ยวชาญ รวม 278 คน และผู้เชี่ยวชาญอีก 5 คน สำหรับการตรวจสอบคุณภาพแบบสัมภาษณ์, แบบประเมินความสอดคล้อง (IOC), แบบสอบถาม
3ทดลองใช้รูปแบบการนิเทศ
ทดลองใช้รูปแบบกับกลุ่มทดลองเพื่อศึกษากระบวนการและผลลัพธ์
ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 49 คน, ผู้ทรงคุณวุฒิ 18 คน และผู้วิจัย (รวม 68 คน)รูปแบบและคู่มือการใช้, แบบสังเกต, แบบประเมิน, แบบสอบถาม
4ประเมินและขยายผล
ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบในด้านต่างๆ และดำเนินการเผยแพร่ ขยายผลการใช้งาน
กลุ่มผู้ให้ข้อมูล 72 คน (ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564) และกลุ่มขยายผลในวงกว้างแบบประเมินประสิทธิผล, แบบสอบถามความพึงพอใจ

การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา พัฒนา ทดลองใช้ และประเมินผลรูปแบบการนิเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ระยะหลัก (Phases) ดังนี้:

1. ระยะที่ 1: ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่คาดหวัง และความต้องการได้รับการนิเทศ (1 ขั้น)

เป็นขั้นตอนการดำเนินการในขั้นแรกเพื่อวิเคราะห์และทำความเข้าใจบริบทก่อนการพัฒนารูปแบบ

  • วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่คาดหวัง และความต้องการจำเป็น (Needs Assessment) ในการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่ (Modern Teacher) ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 3 จังหวัดนนทบุรี
  • ขอบเขตเนื้อหา: ศึกษาข้อมูลการนิเทศการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนของปีการศึกษา 2563 และวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน สภาพที่คาดหวัง และความต้องการของการนิเทศการศึกษา โดยครอบคลุมกระบวนการนิเทศ 6 ด้าน:
    1. การกำหนดปัญหาและความต้องการจำเป็นของการนิเทศ
    2. การกำหนดเป้าหมายและจุดประสงค์การนิเทศ
    3. การออกแบบกระบวนการนิเทศ
    4. ความรอบรู้ของผู้นิเทศในการให้ความรู้แก่ครู
    5. คุณลักษณะที่สำคัญของผู้นิเทศ
    6. การประเมินผล สรุปผล และให้ข้อมูลป้อนกลับ
  • กลุ่มตัวอย่าง: ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสังกัดฯ ปีการศึกษา 2563 จำนวน 330 คน (ผู้บริหาร 45 คน และครู 285 คน)
  • เครื่องมือ: แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน สภาพที่คาดหวังและความต้องการในการนิเทศการศึกษา แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จำนวน 35 ข้อ
  • การหาคุณภาพเครื่องมือ: นำร่างแบบสอบถามให้ผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) และความถูกต้องเหมาะสมของภาษา โดยคำนวณค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ซึ่งอยู่ในช่วง 0.45 – 0.87

2. ระยะที่ 2: พัฒนารูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model (5 ขั้น)

เป็นขั้นตอนการสร้างและตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบการนิเทศ

  • วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนารูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model ที่ส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่
  • ขั้นตอนการดำเนินการ: ประกอบด้วย 5 ขั้น (ที่ระบุในตาราง 3.1 และเนื้อหา):
    • ขั้นที่ 1 (ไม่ปรากฏชื่อชัดเจนในสารบัญตาราง แต่เป็นส่วนของการสังเคราะห์)
    • ขั้นที่ 2 (ไม่ปรากฏชื่อชัดเจนในสารบัญตาราง แต่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบความสอดคล้อง/เหมาะสม)
    • ขั้นที่ 3: ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง (Construct Validity) โดยใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis: CFA) กลุ่มตัวอย่าง 278 คน (ผู้บริหาร 18 คน และครู 260 คน) และหาค่าความเชื่อมั่น (Alpha Coefficient) ของแบบสอบถามความเหมาะสม ซึ่งเท่ากับ .96
    • ขั้นที่ 4: ร่างรูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model และคู่มือการใช้รูปแบบ โดยสังเคราะห์ข้อมูลจากระยะที่ 1 และ 2
    • ขั้นที่ 5: ตรวจสอบรูปแบบและคู่มือการนิเทศ โดยผู้เชี่ยวชาญ 5 คน ประเมินรูปแบบใน 4 ด้าน คือ ด้านการใช้ประโยชน์ ด้านความเป็นไปได้ ด้านความเหมาะสม และด้านความถูกต้อง และประเมินคู่มือในด้านความเหมาะสมและความถูกต้อง

3. ระยะที่ 3: ทดลองใช้รูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model (1 ขั้น)

เป็นขั้นตอนของการนำรูปแบบไปทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมายจริง

  • วัตถุประสงค์: เพื่อทดลองใช้องค์ประกอบด้านกระบวนการของรูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model และศึกษากระบวนการและผลลัพธ์ของรูปแบบ
  • กลุ่มทดลองใช้: ผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้บริหาร/ผู้แทน) ผู้วิจัย (ศึกษานิเทศก์) และครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย (18 โรงเรียน) รวมจำนวน 68 คน (ครู 49 คน, ผู้ทรงคุณวุฒิ 18 คน, ผู้วิจัย 1 คน) ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
  • เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล: ใช้แบบสอบถาม/แบบสังเกต 9 ฉบับ เช่น แบบสังเกตแผนการจัดการเรียนรู้ แบบสังเกตการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่ (3 ด้าน: Pedagogy, Technology, Assessment) และแบบสอบถามความพึงพอใจของครูและนักเรียน
  • การวิเคราะห์ข้อมูล: วิเคราะห์ค่าเฉลี่ย $(\bar{X})$ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และคำนวณร้อยละของการปฏิบัติงาน รวมถึงใช้ฐานนิยมของคณะกรรมการประเมินในการประเมินแผนและสมรรถนะ

4. ระยะที่ 4: ประเมินและขยายผลรูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model (2 ขั้น)

เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวิจัยเพื่อยืนยันประสิทธิภาพและเผยแพร่ผลงาน

  • ขั้นตอนที่ 8 (ขั้นประเมินประสิทธิผล): ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model
    • ขอบเขตเนื้อหา: การประเมินประสิทธิผลที่มีต่อรูปแบบการนิเทศ
    • เครื่องมือ: แบบประเมินประสิทธิผล แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยพิจารณาตามมาตรฐานการประเมินทางการศึกษา 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการใช้ประโยชน์ ด้านความเป็นไปได้ ด้านความเหมาะสม และด้านความถูกต้อง
  • ขั้นตอนที่ 9: เผยแพร่และขยายผลการใช้รูปแบบการนิเทศ
    • การดำเนินการ: เผยแพร่คู่มือการใช้รูปแบบไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ประถมศึกษาและมัธยมศึกษา) และศึกษาธิการจังหวัด รวม 10 แห่ง และจัดการประชุมขยายผลกับศึกษานิเทศก์ในสังกัด

ผลการวิจัยที่สำคัญ

  1. สภาพปัจจุบันและความต้องการในการนิเทศ
    • สภาพปัจจุบันของการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะครูยุคใหม่โดยรวมอยู่ใน ระดับปานกลาง
    • สภาพที่คาดหวังของการนิเทศโดยรวมอยู่ใน ระดับมากที่สุด
    • ความต้องการจำเป็นในการรับการนิเทศที่สูงที่สุดคือ ด้านการกำหนดปัญหาและความต้องการจำเป็นของการนิเทศ รองลงมาคือ ด้านการกำหนดเป้าหมายและจุดประสงค์การนิเทศ
  2. องค์ประกอบของรูปแบบการนิเทศ 3S3P
    • รูปแบบที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่:
      1. องค์ประกอบด้านจุดมุ่งหมายและหลักการ
      2. องค์ประกอบด้านการดำเนินการ
      3. องค์ประกอบด้านกระบวนการ (ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน 3S3P)
      4. องค์ประกอบด้านผลลัพธ์ (สมรรถนะครู 3 ด้าน)
  3. ผลการทดลองใช้รูปแบบ
    • กลุ่มทดลองให้ความสำคัญและเข้าใจรูปแบบการนิเทศเป็นอย่างดี มีการเตรียมความพร้อมและมีส่วนร่วมในกระบวนการ
    • ครูที่เข้าร่วมโครงการเกิดการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้านอย่างชัดเจน:
      • ด้านเทคนิคการจัดการเรียนรู้ (Pedagogy): สามารถออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) ได้ดีขึ้น
      • ด้านเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ (Technology): สามารถเลือกใช้และพัฒนาสื่อเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      • ด้านการประเมินผลเพื่อการเรียนรู้ (Assessment): สามารถประเมินผลเพื่อพัฒนาผู้เรียนตามความแตกต่างระหว่างบุคคลได้
  4. ผลการประเมินประสิทธิผลของรูปแบบ
    • ประสิทธิผลของรูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model โดยรวมอยู่ใน ระดับมากที่สุด
    • เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน ได้แก่ ด้านการใช้ประโยชน์, ด้านความเป็นไปได้, ด้านความเหมาะสม, และด้านความถูกต้อง

รายละเอียดรูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model

รูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model เป็นกระบวนการที่ดำเนินการเป็นวงจรต่อเนื่องกัน ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบเชิงกระบวนการ ดังนี้

  1. วิเคราะห์ ตรวจสอบ (Scan: S1)
    • การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา สภาพที่คาดหวัง และความต้องการได้รับการนิเทศของครู รวมถึงผลการดำเนินงานนิเทศในปีที่ผ่านมา เพื่อรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน
  2. กำหนดกลยุทธ์ (Set Strategies: S2)
    • การกำหนดเป้าหมายของการนิเทศเพื่อเปลี่ยนโฉมครูสู่ “ครูยุคใหม่” โดยใช้กระบวนการนิเทศและการสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) รวมถึงการออกแบบโครงสร้างและวางแผนงาน
  3. นำสู่การนิเทศ (Start to Implement: S3)
    • เป็นขั้นตอนการปฏิบัติการนิเทศตามกลยุทธ์ที่วางไว้ โดยใช้ กระบวนการ GROUPS Model ซึ่งมีหลักการสำคัญคือความเป็นกัลยาณมิตร การพัฒนาบทเรียนร่วมกัน (Lesson Study) และ PLC เป็นฐาน
  4. ประเมินความสามารถ (Performance Assessment: P1)
    • การประเมินความรู้ ทักษะ และเจตคติของครูผู้สอนในการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ Pedagogy, Technology, และ Assessment
  5. ส่งเสริม สนับสนุน (Promote: P2)
    • การนิเทศ อบรม และพัฒนาครูเพื่อเพิ่มทักษะ (Up-skill) ในสมรรถนะทั้ง 3 ด้าน ตามศักยภาพของครูแต่ละคน ผ่านวิธีการที่หลากหลาย เช่น การประชุมเชิงปฏิบัติการ การให้คำปรึกษา และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านช่องทางออนไลน์
  6. ขยายผลความสำเร็จของวิชาชีพ (Powerful & Develop: P3)
    • การสร้างขวัญและกำลังใจ ยกย่องเชิดชูเกียรติครูผู้สอนในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Symposium) และส่งเสริมการต่อยอดความสำเร็จสู่ความก้าวหน้าทางวิชาชีพ

กระบวนการ GROUPS Model (ส่วนหนึ่งของขั้นตอน S3)

กระบวนการ GROUPS Model เป็นหัวใจของการปฏิบัติการนิเทศในขั้นตอน “นำสู่การนิเทศ (Start to Implement)” ประกอบด้วย 6 ขั้นตอนย่อย

ขั้นตอนชื่อ (ภาษาอังกฤษ)คำอธิบาย
GGroupสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้: สร้างกลุ่ม PLC ซึ่งประกอบด้วย ศึกษานิเทศก์, ผู้ทรงคุณวุฒิ และครู 2-4 คน โดยใช้กลุ่มสาระการเรียนรู้เป็นฐาน
RReviseทบทวนสร้างความรู้ความเข้าใจ: ประชุม PLC ครั้งที่ 1 เพื่อสร้างความเข้าใจ กำหนดเป้าหมายการนิเทศ และออกแบบตารางการนิเทศร่วมกัน
OOutlineจัดทำและศึกษาแผนการจัดการเรียนรู้: ครูผู้รับการนิเทศจัดทำแผนการสอนแบบ Active Learning และสมาชิกกลุ่มร่วมกันศึกษาแผนดังกล่าว
UUnboltแลกเปลี่ยน ถอดประสบการณ์: ประชุม PLC ครั้งที่ 2 เพื่อนำเสนอแผนฯ ร่วมกันวิพากษ์ เสนอแนะ และปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้
PPresentนำเสนอและสังเกตการจัดการเรียนรู้: ครูนำแผนที่ปรับปรุงแล้วไปใช้จัดการเรียนรู้ในห้องเรียน (ทั้งแบบ On-site หรือ Online) โดยมีสมาชิกกลุ่มร่วมสังเกตการณ์
SShareแลกเปลี่ยนมุมมองและข้อเสนอแนะ: ประชุม PLC ครั้งที่ 3 เพื่อร่วมวิพากษ์ ให้ข้อเสนอแนะ และแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ต่อไป

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

  1. ได้รูปแบบการนิเทศที่มีประสิทธิภาพสำหรับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่
  2. ได้แนวทางในการพัฒนาการนิเทศทั้งในระดับการนิเทศภายใน (โดยผู้บริหารและครู) และการนิเทศภายนอก (โดยศึกษานิเทศก์) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนอย่างมีประสิทธิผล

จากการตรวจสอบแหล่งข้อมูลที่ท่านให้มา ผลการวิจัยสามารถสรุปได้เป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้ คือ ผลการศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการจำเป็น (Needs Assessment), ผลการตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของรูปแบบการนิเทศ, และผลลัพธ์จากการนำรูปแบบไปใช้ (Implementation Results)


ผลการศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่คาดหวังในการนิเทศ

ผลการวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน สภาพที่คาดหวัง และความต้องการจำเป็นของการนิเทศการศึกษาเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่ พบว่า:

  1. สภาพปัจจุบัน (Current State): สภาพปัจจุบันของการดำเนินการนิเทศในภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง ในหลายด้าน เช่น
    • ด้านการกำหนดปัญหาและความต้องการจำเป็นของการนิเทศ: อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีการศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการจำเป็นสูงที่สุดในระดับปานกลาง
    • ด้านการกำหนดเป้าหมายและจุดประสงค์การนิเทศ: อยู่ในระดับปานกลาง
    • ด้านความรอบรู้ของผู้นิเทศในการให้ความรู้แก่ครู: ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง
  2. สภาพที่คาดหวัง (Expected State): สภาพที่คาดหวังของการดำเนินการนิเทศในภาพรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด ในทุกด้านที่ทำการศึกษา เช่น
    • ด้านการกำหนดปัญหาและความต้องการจำเป็น: อยู่ในระดับมากที่สุด
    • ด้านการกำหนดเป้าหมายและจุดประสงค์การนิเทศ: อยู่ในระดับมากที่สุด
  3. ความต้องการจำเป็น (Need Gap – PNI): มีความแตกต่างระหว่างสภาพปัจจุบันและสภาพที่คาดหวังในทุกข้อรายการ โดยความต้องการจำเป็นที่มีความสำคัญสูงสุด 3 ลำดับแรก ในแต่ละด้าน ได้แก่:
    • การกำหนดปัญหาและความต้องการจำเป็น: อันดับ 1 คือ สำรวจความต้องการของครูที่มีต่อประเด็นการนิเทศ
    • การกำหนดเป้าหมายและจุดประสงค์การนิเทศ: อันดับ 1 คือ มีการกำหนดเป้าหมายและจุดประสงค์การนิเทศตามความต้องการของครู
    • การออกแบบกระบวนการนิเทศ: อันดับ 1 คือ มีรูปแบบกระบวนการนิเทศ
    • ความรอบรู้ของผู้นิเทศ: อันดับ 1 คือ ผู้นิเทศมีความรอบรู้ด้านสื่อ เทคโนโลยี
    • คุณลักษณะที่สำคัญของผู้นิเทศ: อันดับ 1 คือ มีความเป็นกัลยาณมิตร และ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี (ความสำคัญเท่ากัน)
    • การประเมินผล สรุปผล และให้ข้อมูลป้อนกลับ: อันดับ 1 คือ มีการให้ข้อมูลป้อนกลับต่อผู้รับการนิเทศ

2. ผลการตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบการนิเทศ (3S3P Supervisory Model)

ผลการตรวจสอบรูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model โดยผู้เชี่ยวชาญ และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) สรุปได้ดังนี้:

  1. ความเหมาะสมและความถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญ: องค์ประกอบของรูปแบบการนิเทศที่พัฒนาขึ้นได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ (N=5) ว่ามีความเหมาะสมในระดับ มากที่สุด ในทุกองค์ประกอบหลัก (เช่น องค์ประกอบด้านจุดมุ่งหมาย, ด้านการดำเนินงาน, ด้านกระบวนการ, ด้านผลลัพธ์) และในทุกด้านย่อยของการประเมิน (ด้านการใช้ประโยชน์, ความเป็นไปได้, ความเหมาะสม, ความถูกต้อง)
    • ตัวอย่างเช่น ขั้นตอนย่อยในกระบวนการ นำสู่การนิเทศ (Start to Implement: S3) โดยใช้กระบวนการ GROUPS Model ทุกขั้นตอน (Group, Revise, Outline, Unbolt, Present, Share) มีความเหมาะสมอยู่ในระดับ มากที่สุด
  2. ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง: ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) พบว่า องค์ประกอบและตัวบ่งชี้ของรูปแบบการนิเทศมีความสอดคล้องและกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยมีค่าน้ำหนักองค์ประกอบอยู่ระหว่าง 0.761 – 0.967 ซึ่งถือว่าสูงมาก

ผลลัพธ์จากการนำรูปแบบไปใช้ในการพัฒนาครู

ผลการทดลองใช้รูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model กับครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย (N=49) และการสังเกตการจัดการเรียนรู้ พบผลลัพธ์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้:

  1. สมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่ (Modern Teacher):
    • ด้านเนื้อหา (Content): ครูที่เข้ารับการนิเทศมีการจัดทำเนื้อหาที่มีความถูกต้อง และตรงตามหลักสูตรทุกคน คิดเป็นร้อยละ 100
    • ด้านเทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ (Pedagogy): ครูสามารถจัดการเรียนรู้ตามแผนการสอนที่กระตุ้นการเรียนรู้ของผู้เรียนในรูปแบบ การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)
    • ด้านเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ (Technology): ครูมีสมรรถนะด้านเทคโนโลยีในระดับ ผ่าน ขึ้นไปคิดเป็นร้อยละ 100 โดยมีระดับคุณภาพ ดี จำนวน 28 คน คิดเป็นร้อยละ 57.14 นอกจากนี้ ครูมีทัศนคติเชิงบวกต่อการใช้เทคโนโลยีและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอน
    • ด้านการประเมินผลเพื่อการเรียนรู้ (Assessment): ครูมีการออกแบบการวัดและประเมินผลที่หลากหลาย
  2. ความพึงพอใจของครูและผู้เรียน:
    • ความพึงพอใจของครู: ความพึงพอใจต่อการนิเทศในภาพรวมอยู่ในระดับ ดีเยี่ยมโดยประเด็นที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด 3 ลำดับแรกคือ รูปแบบนิเทศ มีประโยชน์ และสามารถนำไปพัฒนาตนเองในการจัดการเรียนรู้ได้จริง ศึกษานิเทศก์เป็นกัลยาณมิตรที่ดี ในการนิเทศ และ การประชุมสร้างความเข้าใจในการนิเทศ
    • ความพึงพอใจของผู้เรียน: ผู้เรียนมีความคิดเห็นว่าครูมีการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ในระดับ มากที่สุด โดยเฉพาะด้านการส่งเสริมให้นักเรียนใช้สื่อ/เทคโนโลยีในการส่งเสริมการเรียนรู้ และครูให้ความสนใจแก่นักเรียนอย่างทั่วถึงขณะสอน
  3. การขยายผลและวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice):
    • การดำเนินการตามรูปแบบดังกล่าวส่งผลให้เกิด วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของครูหลายท่าน
    • รูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model ได้รับการยอมรับให้ขยายผลไปใช้ในการนิเทศการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและหน่วยงานทางการศึกษาอื่น ๆ จำนวน 10 แห่ง โดยมีการระบุว่ารูปแบบนี้สามารถนำไปใช้ได้จริง เป็นแนวทางสำหรับการนิเทศภายในและภายนอก และสอดคล้องกับการจัดการศึกษาในยุควิถีถัดไป (Next Normal) ที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้มากขึ้น

ขอขอคุณที่มาของรายงานการวิจัยเรื่องการพัฒนารูปแบบการนิเทศ 3S3P Supervisory Model ที่ส่งเสริม สมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูยุคใหม่ (Modern Teacher) ของนางสาวสกาวรัตน์ จรุงนันทกาล ตำแหน่ง ศึกษานิเทศก ์ วิทยฐานะ ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!