แนวทางการขอเลื่อนวิทยฐานะผู้บริหารการศึกษาเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษ

แนวทางการขอเลื่อนวิทยฐานะผู้บริหารการศึกษาเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษ

ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ สพม.นครราชสีมา
Musicmankob@gmail.com 4 กันยายน 2568

บทสรุปสำหรับผู้บริหาร

เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นในฐานะแนวปฏิบัติระดับสูงสำหรับผู้บริหารการศึกษาที่มุ่งมั่นสู่การขอเลื่อนวิทยฐานะเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษภายใต้หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.4/ว 12 ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 1 ซึ่งถือเป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ครั้งสำคัญในการประเมินความก้าวหน้าทางวิชาชีพ จากเดิมที่เน้นการรวบรวมเอกสารและการนำเสนอผลการดำเนินงานในเชิงปริมาณ ไปสู่การประเมินที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์เรื่องราว (Narrative) แห่งความสำเร็จในการเป็น “ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง” ที่สามารถพิสูจน์ผลกระทบเชิงประจักษ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม

หัวใจสำคัญของแนวทางใหม่นี้คือการเปลี่ยนจากการบันทึก “กิจกรรมที่ทำ” (Activity) ไปสู่การสาธิตให้เห็นถึง “ผลกระทบที่เกิดขึ้น” (Impact) อย่างมีนัยสำคัญ โดยผลกระทบดังกล่าวต้องสอดคล้องและตอบสนองต่อนโยบายและจุดเน้นของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และยุทธศาสตร์การศึกษาของชาติอย่างแยกไม่ออก แนวปฏิบัติฉบับนี้จึงนำเสนอแนวคิด “เส้นด้ายสีทอง” (The Golden Thread) ซึ่งเป็นแกนหลักเชิงกลยุทธ์ที่ผู้บริหารต้องถักทอให้เชื่อมโยงกันตลอดทั้งกระบวนการ ตั้งแต่นโยบายระดับชาติ บริบทและความท้าทายในพื้นที่ การปฏิบัติงานตามภาระงานที่กำหนดใน ว21/2564 3 ไปจนถึงการสังเคราะห์เป็นผลงานทางวิชาการที่ได้รับการยอมรับ ความสำเร็จในการขอเลื่อนวิทยฐานะภายใต้เกณฑ์ใหม่นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทำงานหนักเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการวางแผนเชิงกลยุทธ์ การรวบรวมหลักฐานอย่างเป็นระบบ และการนำเสนอผลงานในฐานะผู้นำที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริงต่อคุณภาพการศึกษาโดยรวม


บทที่ 1: ถอดรหัสเกณฑ์ประเมินใหม่: จากภาระงานสู่การสร้างการเปลี่ยนแปลง

ปรัชญาและหลักการสำคัญของ ว12/2564: ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง

หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะตาม ว12/2564 5 ไม่ใช่เป็นเพียงการปรับปรุงระเบียบขั้นตอนการบริหารงานบุคคล แต่เป็นการปรับเปลี่ยนนิยามบทบาทของผู้บริหารการศึกษาครั้งสำคัญ หลักการและเหตุผลที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าวได้อ้างอิงถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ซึ่งสะท้อนเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการยกระดับคุณภาพการศึกษาของชาติ 5 การเปลี่ยนแปลงนี้มีนัยว่า ก.ค.ศ. คาดหวังให้ผู้บริหารการศึกษามิใช่เป็นเพียงผู้จัดการ (Manager) ที่ดูแลให้ระบบดำเนินไปตามปกติ แต่ต้องเป็น “ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง” (Change Leader) ที่สามารถริเริ่ม พัฒนา และขับเคลื่อนให้เกิดการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม

การประเมินจึงได้เปลี่ยนจุดเน้นจากการตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่แสดง “สิ่งที่ได้ทำไปแล้ว” มาสู่การประเมินแบบมองไปข้างหน้า (Forward-looking) ที่พิจารณาถึง “ความสามารถในการสร้างผลลัพธ์ใหม่ที่ดีกว่าเดิม” กระบวนการทั้งหมดจึงถูกออกแบบมาเพื่อคัดกรองผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ สามารถวิเคราะห์สภาพปัญหาและความท้าทายในพื้นที่รับผิดชอบได้อย่างเฉียบคม และสามารถออกแบบนวัตกรรมทางการบริหารหรือกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อแก้ไขปัญหานั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำเสนอผลงานที่แสดงเพียงความสามารถในการบริหารจัดการตามกรอบภารกิจเดิมให้สำเร็จลุล่วงอาจไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ผู้ขอรับการประเมินจะต้องสามารถสร้างเรื่องราวที่น่าเชื่อถือและมีหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุนว่าตนเองได้เป็นผู้ริเริ่มและนำพาองค์กรไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นจริง ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการปฏิรูปการศึกษาที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีวินัย และมีความสามารถตามความถนัดของตน 5

การบริหารภาระงานอย่างมีประสิทธิภาพตามแนวทาง ว21/2564: สร้างฐานข้อมูลสู่ความสำเร็จ

หนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.3/ว 21 ลงวันที่ 30 สิงหาคม 2564 7 ได้กำหนดกรอบภาระงานของผู้บริหารการศึกษาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งประกอบด้วยงานในหลายมิติ ตั้งแต่การบริหารงานวิชาการ การบริหารงานบุคคล งบประมาณ และบริหารทั่วไป ไปจนถึงการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ 7 การมองภาระงานเหล่านี้เป็นเพียงรายการหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนถือเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ในบริบทของเกณฑ์ประเมินใหม่ ผู้บริหารเชิงกลยุทธ์จะต้องมองว่า ว21/2564 คือ “กรอบการดำเนินงานเพื่อรวบรวมหลักฐาน” สำหรับการประเมินตามเกณฑ์ ว12/2564

ทุกภาระงานที่ปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการนิเทศ กำกับ ติดตาม การประชุมคณะกรรมการ การประสานงานกับเครือข่าย หรือการขับเคลื่อนโครงการตามนโยบาย ล้วนเป็นโอกาสในการเก็บรวบรวมข้อมูล ร่องรอย และหลักฐานที่จะนำไปใช้สนับสนุนข้อความที่ระบุไว้ในข้อตกลงในการพัฒนางาน (Performance Agreement: PA) ตัวอย่างเช่น ขณะดำเนิน “งานพัฒนาคุณภาพการศึกษา” 7 ผู้บริหารควรจัดเก็บเอกสารหลักฐานอย่างเป็นระบบ เช่น รายงานการประชุม PLC, ผลการวิเคราะห์ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ผู้เรียนก่อนและหลังการดำเนินโครงการ, แบบประเมินความพึงพอใจของครูและผู้ปกครอง หรือภาพถ่ายกิจกรรมที่แสดงถึงการมีส่วนร่วม เป็นต้น การกระทำเช่นนี้เป็นการเปลี่ยนภาระงานประจำ (Routine Tasks) ให้กลายเป็นกระบวนการสร้างคลังข้อมูล (Evidence Base) ที่มีคุณภาพ ซึ่งจะถูกนำมาใช้เพื่อพิสูจน์ผลลัพธ์ (Outcomes) และตัวชี้วัด (Indicators) ในรายงาน PA ได้อย่างทรงพลังและน่าเชื่อถือในที่สุด 9

การเชื่อมโยงผลงานสู่ยุทธศาสตร์ชาติ: ตอบสนองนโยบาย สพฐ.

องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการสร้างความโดดเด่นให้กับการขอเลื่อนวิทยฐานะ คือความสามารถในการแสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติงานและผลงานทางวิชาการของผู้บริหารนั้นสอดคล้องและตอบสนองต่อนโยบายเร่งด่วนและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการและ สพฐ. อย่างชัดเจน 10 สำหรับปีงบประมาณ 2567-2569 นโยบายหลักมุ่งเน้นในหลายมิติที่ผู้บริหารสามารถนำมาเป็นกรอบในการกำหนด “ประเด็นท้าทาย” (Challenging Issue) ใน PA ของตนเองได้ 11

นโยบายและจุดเน้นที่สำคัญประกอบด้วย:

  • ด้านความปลอดภัย: การพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน ทั้งจากภัยคุกคามทางกายภาพ ภัยออนไลน์ และการส่งเสริมสุขภาวะทางจิต 12
  • ด้านโอกาสและความเสมอภาค: การลดอัตราการหลุดออกจากระบบการศึกษา (Thailand Zero Dropout) การดูแลช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มเสี่ยงและผู้ด้อยโอกาส และการส่งเสริมผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษ 15
  • ด้านคุณภาพ: การส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) การพัฒนาทักษะแห่งอนาคต (Future Skills) การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง และการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ 16
  • ด้านประสิทธิภาพ: การลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา การลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง การพัฒนาระบบบริหารจัดการโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ 11
  • ด้านการพัฒนาครูและบุคลากร: การส่งเสริมชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) และการพัฒนาสมรรถนะครูยุคใหม่ 18

การเลือกประเด็นท้าทายที่เชื่อมโยงกับนโยบายเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ผลงานมีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ แต่ยังแสดงให้คณะกรรมการประเมินเห็นว่าผู้บริหารมีความเข้าใจในบริบทของการศึกษาในภาพใหญ่และสามารถแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ได้อย่างแท้จริง ตารางต่อไปนี้คือเครื่องมือสำหรับช่วยในการระดมสมองเพื่อเชื่อมโยงนโยบายสู่การปฏิบัติ

ตารางที่ 1: เมทริกซ์เชื่อมโยงนโยบาย สพฐ. สู่การริเริ่มที่นำไปปฏิบัติได้

นโยบาย/จุดเน้น สพฐ.ปัญหาที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ตัวอย่างประเด็นท้าทายใน PAตัวอย่างหัวข้อผลงานทางวิชาการ
เพิ่มโอกาสและสร้างความเสมอภาค (นโยบาย “Thailand Zero Dropout”) 16อัตราการขาดเรียนสูงในโรงเรียนขยายโอกาส, ขาดระบบติดตามนักเรียนกลุ่มเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพการพัฒนาระบบการบริหารจัดการข้อมูลและกลไกการดูแลช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มเสี่ยง เพื่อลดอัตราการหลุดออกจากระบบการศึกษาในเขตพื้นที่ฯ ลงร้อยละ 15การวิจัยและพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการเครือข่ายเพื่อป้องกันและช่วยเหลือนักเรียนที่เสี่ยงต่อการหลุดออกจากระบบการศึกษา
ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา 11ครูใช้เวลาจำนวนมากกับงานเอกสารที่ไม่เกี่ยวกับการสอน, ระบบการรายงานผลซ้ำซ้อนการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสารสนเทศโดยใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อลดภาระงานเอกสารของครูในสถานศึกษาสังกัดเขตพื้นที่ฯ ลงร้อยละ 30การประเมินผลโครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการเอกสารดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและลดภาระครู
เสริมสร้างความปลอดภัยของสถานศึกษา 12นักเรียนเผชิญกับปัญหาการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ (Cyberbullying), ขาดความตระหนักรู้ในการใช้สื่ออย่างปลอดภัยการริเริ่มและพัฒนากลยุทธ์การสร้างภูมิคุ้มกันดิจิทัล (Digital Citizenship) ให้กับผู้เรียน ครู และบุคลากรในเขตพื้นที่ฯการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ทางดิจิทัลและความปลอดภัยในโลกไซเบอร์สำหรับสถานศึกษา
พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (ส่งเสริม PLC) 18การทำ PLC ในสถานศึกษายังขาดความต่อเนื่องและไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการสอนอย่างแท้จริงการพัฒนารูปแบบการนิเทศภายในแบบเสริมพลัง (Empowerment Supervision) เพื่อยกระดับคุณภาพชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) สู่การเปลี่ยนแปลงห้องเรียนการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการที่ส่งเสริมวัฒนธรรม PLC เพื่อพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู

บทที่ 2: การจัดทำรายงานผลการปฏิบัติงาน (ด้านที่ 1 และ 2) ฉบับสมบูรณ์

รายงานผลการปฏิบัติงานตามข้อตกลง (PA) คือเอกสารหัวใจสำคัญที่บอกเล่าเรื่องราวความสำเร็จในการเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร การประเมินในส่วนนี้แบ่งออกเป็น 2 ด้านที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นเหตุและผล คือ ด้านที่ 1 ที่มุ่งเน้น “กระบวนการ” และด้านที่ 2 ที่มุ่งเน้น “ผลลัพธ์” 20

การประเมินด้านที่ 1: ทักษะการวางแผน กลยุทธ์ และการใช้นวัตกรรม

ด้านที่ 1 คือการแสดงให้เห็นถึง “วิธีการทำงาน” และ “กระบวนการคิด” เชิงกลยุทธ์ของผู้บริหาร 21 ผู้ขอรับการประเมินต้องนำเสนอหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์, การวางแผนอย่างเป็นระบบ, และการนำนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการ ไม่ใช่เพียงการบรรยายว่าทำอะไร แต่ต้องอธิบายว่า “ทำไม” และ “ทำอย่างไร” การเขียนรายงานในส่วนนี้ควรประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญดังนี้

  • การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Analysis): แสดงหลักฐานการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อระบุสภาพปัญหา (สภาพปัญหาการบริหารจัดการสถานศึกษาและคุณภาพการศึกษา) 22 เช่น การนำข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (O-NET), ผลการประเมินคุณภาพภายนอก, หรือข้อมูลจากระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนมาวิเคราะห์เพื่อหาต้นตอของปัญหาอย่างแท้จริง
  • การพัฒนานวัตกรรมหรือกลยุทธ์ (Innovative Solutions): อธิบายถึงเครื่องมือ, ระบบ, รูปแบบ หรือแนวทางการบริหารจัดการใหม่ที่ได้ริเริ่มหรือพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว 21 ตัวอย่างเช่น การพัฒนารูปแบบการนิเทศภายในแบบออนไลน์, การสร้างแพลตฟอร์มสำหรับติดตามการพัฒนาสมรรถนะครู, หรือการออกแบบกระบวนการจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาโดยใช้เทคนิคการมีส่วนร่วมแบบใหม่
  • การสร้างการมีส่วนร่วม (Stakeholder Engagement): นำเสนอหลักฐานที่แสดงถึงกระบวนการสร้างความเข้าใจ, การระดมความคิดเห็น, และการสร้างความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ทั้งครู บุคลากร ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษา และชุมชน เพื่อให้เกิดการยอมรับและร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง 23

การประเมินด้านที่ 2: ผลลัพธ์ในการพัฒนาการบริหารและการจัดการศึกษา

ด้านที่ 2 คือการพิสูจน์ให้เห็นว่ากระบวนการและนวัตกรรมที่นำเสนอในด้านที่ 1 ได้ก่อให้เกิด “ผลกระทบเชิงบวก” ที่สามารถวัดผลได้จริง 21 การนำเสนอผลลัพธ์ต้องครอบคลุมและแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทุกมิติของระบบการศึกษาที่อยู่ในความรับผิดชอบ โดยต้องมีข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพสนับสนุนอย่างชัดเจน ผลลัพธ์ที่ต้องนำเสนอประกอบด้วย

  • ผลลัพธ์ต่อผู้เรียน (Impact on Learners): เป็นผลลัพธ์ที่มีความสำคัญสูงสุด ต้องแสดงให้เห็นการพัฒนาของผู้เรียนในด้านต่างๆ เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น, คุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่ดีขึ้น, การลดลงของพฤติกรรมเสี่ยง, หรือการมีทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 เพิ่มขึ้น 21
  • ผลลัพธ์ต่อครูและบุคลากร (Impact on Teachers and Staff): แสดงให้เห็นว่าครูและบุคลากรได้รับการพัฒนาอย่างไร เช่น มีทักษะการจัดการเรียนรู้ที่สูงขึ้น, สามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ได้, มีขวัญและกำลังใจในการทำงานที่ดีขึ้น, หรือมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสอนไปในทิศทางที่พึงประสงค์ 21
  • ผลลัพธ์ต่อสถานศึกษาและเขตพื้นที่ (Impact on Institution/Area): แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงในระดับองค์กร เช่น มีระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น, ได้รับการยอมรับจากชุมชนและผู้ปกครองเพิ่มขึ้น, มีเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งขึ้น, หรือมีวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการพัฒนาคุณภาพ 21

เทคนิคการเขียนข้อตกลงในการพัฒนางาน (PA) ที่ทรงพลัง: สร้างเรื่องราวแห่งความสำเร็จ

การเขียน PA ที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่การกรอกข้อมูลลงในแบบฟอร์ม แต่คือการ “ประพันธ์” เรื่องราวความสำเร็จเชิงกลยุทธ์ 23 กระบวนการนี้ต้องเริ่มต้นจากการวางโครงเรื่องที่แข็งแกร่งและเชื่อมโยงทุกองค์ประกอบเข้าด้วยกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล ดังนี้

  • ขั้นตอนที่ 1: กำหนด “ประเด็นท้าทาย” (Challenging Issue) ที่เฉียบคม: นี่คือแกนกลางของเรื่องราวทั้งหมด ประเด็นท้าทายที่ดีต้องไม่ใช่ปัญหาง่ายๆ ที่แก้ไขได้ด้วยการทำงานตามปกติ แต่ต้องเป็นปัญหาเชิงระบบที่มีความซับซ้อน ส่งผลกระทบในวงกว้าง และที่สำคัญคือต้องสอดคล้องกับนโยบายหลักของ สพฐ. (ดังที่แสดงในตารางที่ 1) 25 การเริ่มต้นด้วยประเด็นท้าทายที่ทรงพลังจะช่วยกำหนดทิศทางของ PA ทั้งหมด
  • ขั้นตอนที่ 2: กำหนด “งาน” (Tasks) เชิงกลยุทธ์: แทนที่จะระบุภาระงานประจำวัน ให้ระบุกิจกรรมหรือโครงการหลักๆ ที่ท่านได้ริเริ่มขึ้นเพื่อจัดการกับประเด็นท้าทายนั้นโดยตรง งานเหล่านี้ควรสะท้อนถึงบทบาทความเป็นผู้นำใน 5 ด้านของมาตรฐานตำแหน่ง (ด้านวิชาการ, ด้านการบริหารจัดการ, ด้านการเปลี่ยนแปลง, ด้านชุมชนและเครือข่าย, และด้านการพัฒนาตนเอง) 23
  • ขั้นตอนที่ 3: นิยาม “ผลลัพธ์” (Outcomes) ที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลง: ผลลัพธ์คือสภาพที่พึงประสงค์หลังจากดำเนินงานสำเร็จ ควรเขียนในลักษณะที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงสถานะหรือความสามารถ เช่น แทนที่จะเขียนว่า “จัดอบรมครูเรื่อง Active Learning” ซึ่งเป็นเพียงกิจกรรม ให้เขียนผลลัพธ์ว่า “ครูมีความสามารถในการออกแบบและจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” 23
  • ขั้นตอนที่ 4: สร้าง “ตัวชี้วัด” (Indicators) ที่วัดผลได้และน่าเชื่อถือ: นี่คือส่วนที่สำคัญที่สุดในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับรายงาน PA ตัวชี้วัดที่ดีต้องสามารถวัดผลได้จริงและแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน 23 ควรมีทั้งตัวชี้วัดเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ

ตัวอย่างตัวชี้วัดเชิงปริมาณ

  • “ร้อยละของสถานศึกษาในสังกัดมีผลการประเมินคุณภาพภายในอยู่ในระดับดีมากเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 10”
  • “ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยของนักเรียนในวิชาหลักสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศ”
  • “จำนวนนวัตกรรมการบริหารจัดการที่ถูกพัฒนาและนำไปใช้ขยายผลในสถานศึกษาไม่น้อยกว่า 5 นวัตกรรม”
  • ตัวอย่างตัวชี้วัดเชิงคุณภาพ:
  • “สถานศึกษามีวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกันเป็นทีมและการสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ที่เข้มแข็ง”
  • “ระดับความพึงพอใจของครูและบุคลากรต่อการบริหารงานของผู้บริหารอยู่ในระดับมากที่สุด”
  • “สถานศึกษาได้รับการยอมรับและเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชนและหน่วยงานภายนอก”

การเชื่อมโยงองค์ประกอบทั้งสี่นี้เข้าด้วยกันอย่างมีตรรกะจะเปลี่ยน PA จากเอกสารรายงานผลการปฏิบัติงานธรรมดาให้กลายเป็น “แฟ้มผลงานผู้นำ” (Leadership Portfolio) ที่ทรงพลัง ซึ่งสามารถบอกเล่าเรื่องราวการแก้ปัญหาเชิงกลยุทธ์ได้อย่างสมบูรณ์และน่าเชื่อถือ


บทที่ 3: การสร้างสรรค์ผลงานทางวิชาการ (ด้านที่ 3) ที่โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับ

ผลงานทางวิชาการ (ด้านที่ 3) คือหลักฐานสูงสุดที่ยืนยันถึงความเชี่ยวชาญของผู้บริหารการศึกษา เป็นการยกระดับประสบการณ์จากการปฏิบัติจริง (Practice) สู่องค์ความรู้ที่ผ่านการสังเคราะห์อย่างเป็นระบบและมีหลักการทางวิชาการรองรับ (Scholarship) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษที่กำหนดให้ผลงานต้องได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งเป็นการยืนยันว่าองค์ความรู้นั้นมีคุณค่าและเป็นที่ยอมรับในวงวิชาการในวงกว้าง

การเลือกหัวข้อวิจัยที่สอดคล้องกับบริบทและนโยบาย: จาก PA สู่ผลงานวิชาการ

หัวข้อผลงานทางวิชาการที่ดีที่สุดไม่ได้เกิดจากการคิดแยกส่วน แต่ควรเป็นผลลัพธ์โดยตรงจากการดำเนินงานตามข้อตกลงในการพัฒนางาน (PA) กล่าวคือ ผลงานทางวิชาการควรเป็นการศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบเพื่อ “พิสูจน์และยืนยัน” ประสิทธิผลของนวัตกรรมหรือกลยุทธ์ที่ผู้บริหารได้ริเริ่มและพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไข “ประเด็นท้าทาย” ที่กำหนดไว้ใน PA 26 การเชื่อมโยงนี้ทำให้ผลงานทางวิชาการมีความหนักแน่นและสะท้อนถึงความเป็น “นักปฏิบัติการที่เชี่ยวชาญ” (Expert Practitioner) อย่างแท้จริง

แนวโน้มหัวข้อวิจัยที่น่าสนใจและสอดคล้องกับบริบทปัจจุบันมักเกี่ยวข้องกับการบริหารการศึกษาแห่งอนาคต, การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี (EdTech), การพัฒนาทักษะแห่งอนาคต, และการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในองค์กร 27 จากฐานข้อมูลผลงานวิชาการที่ได้รับการอนุมัติ 28 พบว่าหัวข้อที่ประสบความสำเร็จมักมีลักษณะดังนี้:

  • การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการ (Development of Administrative Models): เช่น “การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการ KHLONG RUEA MODEL ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” 28 หรือ “การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านทักษะอาชีพของนักเรียน” 28
  • การประเมินโครงการตามนโยบาย (Evaluation of Policy-driven Projects): เช่น “การประเมินโครงการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมนักเรียนในโรงเรียนคุณธรรม สพฐ.” 28 หรือ “รายงานการประเมินโครงการสถานศึกษาสีขาวปลอดยาเสพติดและอบายมุข” 28
  • การวิจัยและพัฒนาเครื่องมือหรือนวัตกรรม (R&D of Tools or Innovations): เช่น “การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการเรียนการสอนแบบปลอดการบ้านที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียน” 28

รูปแบบผลงานทางวิชาการที่ ก.ค.ศ. ยอมรับ

สำหรับวิทยฐานะระดับเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษ รูปแบบผลงานทางวิชาการที่นิยมเสนอและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางมี 2 ประเภทหลัก 29 ซึ่งแต่ละประเภทมีความเหมาะสมกับลักษณะของงานที่แตกต่างกัน:

การวิจัยและพัฒนา (Research and Development – R&D): เป็นรูปแบบที่เหมาะสมที่สุดเมื่อผู้บริหารได้สร้างสรรค์ “สิ่งใหม่” ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการบริหาร, นวัตกรรม, สื่อ, หรือกระบวนการทำงาน 30 การเขียนรายงาน R&D จะต้องนำเสนออย่างเป็นระบบตามวงจรการพัฒนา ซึ่งโดยทั่วไปประกอบด้วยขั้นตอนหลักคือ

  • 1) การศึกษาวิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการ (Analysis)
  • 2) การออกแบบและสร้างต้นแบบนวัตกรรม (Design & Development)
  • 3) การนำนวัตกรรมไปทดลองใช้และหาประสิทธิภาพ (Implementation & Validation)
  • 4) การประเมินผลและปรับปรุงเพื่อนำไปใช้จริง (Evaluation & Revision)

รายงานการประเมินโครงการ (Project Evaluation Report): เป็นรูปแบบที่เหมาะสมเมื่อผู้บริหารได้นำโครงการขนาดใหญ่ที่มีอยู่แล้วหรือริเริ่มขึ้นใหม่ตามนโยบายไปปฏิบัติในพื้นที่ และต้องการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการนั้นอย่างรอบด้านและเป็นระบบ 28 การประเมินโครงการมักใช้โมเดลที่เป็นที่ยอมรับ เช่น รูปแบบการประเมิน CIPP Model ซึ่งประเมินครบทั้ง 4 มิติ ได้แก่

  • บริบท (Context)
  • ปัจจัยนำเข้า (Input)
  • กระบวนการ (Process)
  • ผลผลิต (Product)

เพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับคุณค่าและความสำเร็จของโครงการอย่างน่าเชื่อถือ

เทคนิคการเขียนเชิงพรรณนาวิเคราะห์และการอภิปรายผล

การเขียนผลงานทางวิชาการที่มีคุณภาพต้องอาศัยทักษะการนำเสนอข้อมูลและการใช้ภาษาที่แตกต่างจากการเขียนรายงานทั่วไป 31 โดยเฉพาะในส่วนของผลการวิเคราะห์ข้อมูลและการอภิปรายผล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่แสดงถึงความสามารถทางวิชาการของผู้เขียน 32

การเขียนผลการวิเคราะห์ข้อมูล (Results): ส่วนนี้มีเป้าหมายเพื่อ “รายงาน” สิ่งที่ค้นพบจากการวิจัยอย่างตรงไปตรงมา โดยปราศจากการตีความหรือใส่ความคิดเห็นส่วนตัว 33 เทคนิคสำคัญคือการนำเสนอข้อมูลด้วยตารางหรือแผนภูมิที่ชัดเจนและอ่านง่าย ควบคู่ไปกับการเขียน “พรรณนา” ข้อมูลตามหลัก PTDDS 32 ได้แก่

  • Pattern (แบบแผน): รูปแบบการกระจายของข้อมูลเป็นอย่างไร
  • Trend (แนวโน้ม): ข้อมูลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร
  • Degree (ระดับ/สัดส่วน): สัดส่วนของข้อมูลเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับภาพรวม
  • Difference (ความแตกต่าง): มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างกลุ่มข้อมูลหรือไม่
  • Similarity (ความคล้ายคลึง): มีความเหมือนหรือความสอดคล้องกันของข้อมูลในส่วนใดบ้าง

การใช้ภาษาที่กระชับและเป็นกลาง พร้อมทั้งเชื่อมโยงการบรรยายเข้ากับตารางหรือแผนภูมิที่อ้างถึง จะทำให้ส่วนนี้มีความน่าเชื่อถือและเป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาการ 32

การเขียนอภิปรายผล (Discussion): ส่วนนี้คือการ “ตีความ” และ “สังเคราะห์” ผลการวิจัยที่ได้นำเสนอไปแล้ว เพื่อแสดงให้เห็นถึงความลุ่มลึกทางปัญญาของผู้เขียน 32 การอภิปรายผลที่ดีควรประกอบด้วย:

  • การสรุปและยืนยันสมมติฐานหรือตอบวัตถุประสงค์การวิจัย
  • การเปรียบเทียบผลการวิจัยของตนเองกับทฤษฎีและงานวิจัยของผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อแสดงให้เห็นว่าผลงานของเราสอดคล้องหรือแตกต่างจากองค์ความรู้เดิมอย่างไร และเพราะเหตุใด
  • การอธิบายถึงนัยสำคัญของผลการวิจัย (Implications) ว่าสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงนโยบายหรือเชิงปฏิบัติได้อย่างไร
  • การเสนอข้อจำกัดของการวิจัย (Limitations) และข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยในอนาคต

3.4 กลยุทธ์การตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ (TCI)

สำหรับผู้ที่มุ่งสู่ตำแหน่งเชี่ยวชาญพิเศษ การได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์ผลงานในวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญและเป็นเครื่องยืนยันคุณภาพของผลงานในระดับสูงสุด กระบวนการนี้ต้องอาศัยการวางแผนอย่างเป็นระบบ:

  • ขั้นตอนที่ 1: การค้นหาและเลือกวารสารเป้าหมาย: ผู้ขอรับการประเมินควรเข้าใช้ฐานข้อมูล TCI 34 เพื่อค้นหาวารสารที่อยู่ในกลุ่มที่ 1 (Tier 1) ในสาขาศึกษาศาสตร์หรือสาขาที่เกี่ยวข้อง 36 จากนั้นให้พิจารณาขอบเขตและวัตถุประสงค์ (Aims and Scope) ของวารสารแต่ละฉบับ เพื่อเลือกวารสารที่มีแนวทางสอดคล้องกับหัวข้อวิจัยของเรามากที่สุด
  • ขั้นตอนที่ 2: การเตรียมต้นฉบับ (Manuscript Preparation): ศึกษารูปแบบและข้อกำหนดในการส่งบทความ (Author Guidelines) ของวารสารเป้าหมายอย่างละเอียด และดำเนินการปรับแก้บทความของตนเองให้เป็นไปตามข้อกำหนดนั้นทุกประการ ทั้งในด้านโครงสร้างเนื้อหา, รูปแบบการอ้างอิง, การจัดทำตารางและรูปภาพ, และจำนวนคำ
  • ขั้นตอนที่ 3: การเข้าสู่กระบวนการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review): หลังจากส่งบทความเข้าระบบแล้ว บทความจะถูกส่งไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขานั้นๆ ประเมินคุณภาพ (โดยทั่วไป 2-3 ท่าน) กระบวนการนี้อาจใช้เวลาหลายเดือน ผู้เขียนต้องเตรียมพร้อมรับข้อเสนอแนะและคำวิจารณ์จากผู้ประเมิน และนำมาปรับปรุงแก้ไขบทความของตนเองอย่างจริงจังเพื่อส่งกลับไปพิจารณาอีกครั้งจนกว่าจะได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์

บทที่ 4: คลังข้อมูลและตัวอย่างเพื่อการพัฒนา

บทนี้ได้รวบรวมทรัพยากรและตัวอย่างที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้ผู้บริหารการศึกษาสามารถนำไปปรับใช้และพัฒนาผลงานของตนเองได้อย่างมีทิศทางและประสิทธิภาพ

กรณีศึกษา: การวิเคราะห์ตัวอย่างรายงาน PA ที่ประสบความสำเร็จ

การศึกษาจากตัวอย่างจริงเป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด 23 รายงาน PA ที่ประสบความสำเร็จมักมีลักษณะร่วมกันคือการร้อยเรียง “เส้นด้ายสีทอง” ที่เชื่อมโยงทุกองค์ประกอบเข้าด้วยกันอย่างสมเหตุสมผล

การวิเคราะห์ตัวอย่าง PA

ประเด็นท้าทาย: “การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning)” ซึ่งเป็นประเด็นที่ตอบสนองโดยตรงต่อนโยบายการยกระดับคุณภาพการศึกษาและการส่งเสริม Active Learning 23

งาน (Tasks): ไม่ได้ระบุเพียง “การบริหารงานวิชาการ” แต่ลงลึกถึงกิจกรรมเชิงกลยุทธ์ เช่น “1. กำหนดแนวทางการพัฒนาผลสัมฤทธิ์”, “2. พัฒนาครูให้มีความรู้ความเข้าใจ”, “3. นิเทศ กำกับ ติดตามด้วยกัลยาณมิตร”, “4. สรุปและรายงานผล” ซึ่งแสดงถึงกระบวนการนำการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นขั้นตอน 23

ผลลัพธ์ (Outcomes): ระบุผลลัพธ์ที่ชัดเจนต่อกลุ่มเป้าหมาย เช่น “ครูผู้สอนจัดการเรียนการสอนโครงงานได้อย่างมีคุณภาพ”, “นักเรียนได้เรียนรู้แบบโครงงานได้อย่างเหมาะสมและมีคุณภาพ” ซึ่งเป็นการอธิบายถึง “การเปลี่ยนแปลง” ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ “กิจกรรม” ที่ทำ 23

ตัวชี้วัด (Indicators): กำหนดตัวชี้วัดที่สามารถวัดผลได้ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เช่น (เชิงปริมาณ) “ครูผู้สอน…ทุกคน”, “นักเรียนทุกคน…ได้รับการพัฒนา” และ (เชิงคุณภาพ) “ครูผู้สอน…มีคุณภาพ”, “นักเรียน…มีคุณภาพ” ซึ่งแม้ตัวอย่างนี้จะยังไม่ระบุเป็นร้อยละที่ชัดเจน แต่ก็เป็นการวางกรอบเพื่อการเก็บข้อมูลเชิงประจักษ์ต่อไป 23

กรณีศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า PA ที่ดีเริ่มต้นจากการระบุปัญหาที่สำคัญและสอดคล้องกับนโยบาย จากนั้นจึงออกแบบกระบวนการทำงาน (Tasks) เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง (Outcomes) และกำหนดวิธีการวัดผลความสำเร็จนั้น (Indicators) ได้อย่างชัดเจน

ตัวอย่างหัวข้อผลงานทางวิชาการจากฐานข้อมูล ก.ค.ศ.

ฐานข้อมูลการวิจัยและงานวิชาการของสำนักงาน ก.ค.ศ. (OTEPC Research) เป็นคลังความรู้ขนาดใหญ่ที่ผู้บริหารสามารถเข้าไปศึกษาเพื่อหาแรงบันดาลใจและแนวทางในการกำหนดหัวข้อผลงานของตนเองได้ 39 ต่อไปนี้คือตัวอย่างหัวข้อที่น่าสนใจซึ่งจัดกลุ่มตามนโยบายหลักของ สพฐ.

กลุ่มนโยบาย: เพิ่มโอกาสและสร้างความเสมอภาค

  • การพัฒนารูปแบบบริหารจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียน 28
  • การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านทักษะอาชีพของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน 28

กลุ่มนโยบาย: ยกระดับคุณภาพการศึกษา

  • การพัฒนารูปแบบการบริหารโดยใช้ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 28
  • การพัฒนารูปแบบการนิเทศแบบร่วมพัฒนาวิชาชีพ เพื่อพัฒนางานวิชาการด้านวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ 28
  • รูปแบบการพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนการสอนเชิงรุกที่ส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ 28

กลุ่มนโยบาย: บริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความปลอดภัย

  • รูปแบบการจัดการศึกษาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) 28
  • การพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา 28
  • รายงานการประเมินโครงการนักเรียนเพื่อนที่ปรึกษา (Youth Counselor : YC) ตามระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 28

รายชื่อวารสาร TCI กลุ่มที่ 1 สาขาศึกษาศาสตร์

สำหรับผู้ขอรับการประเมินวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ การเลือกวารสารเพื่อตีพิมพ์ผลงานเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง วารสารในกลุ่มที่ 1 (Tier 1) ของฐานข้อมูล TCI ถือเป็นวารสารที่มีคุณภาพสูงและเป็นที่ยอมรับในระดับชาติและนานาชาติ 41 การได้รับการตีพิมพ์ในวารสารกลุ่มนี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับผลงานได้อย่างมาก ตัวอย่างรายชื่อวารสาร (โปรดตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์ TCI โดยตรง)

  • วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 36
  • วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 36
  • วารสารครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย (Silpakorn Educational Research Journal)
  • วารสารการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • วารสารปัญญาภิวัฒน์ 36
  • วารสารนวัตกรรมการศึกษาและการวิจัย 38
  • วารสารการศึกษาและนวัตกรรมการเรียนรู้ 38

บทที่ 5: แนวปฏิบัติสู่ความสำเร็จ: เส้นทางสู่ตำแหน่งเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษ

บทสรุปนี้ได้สังเคราะห์เนื้อหาทั้งหมดให้กลายเป็นแนวปฏิบัติและเครื่องมือที่จับต้องได้ เพื่อนำทางผู้บริหารการศึกษาไปสู่ความสำเร็จในการขอเลื่อนวิทยฐานะ

รายการตรวจสอบ “เส้นด้ายสีทอง” (The “Golden Thread” Checklist)

ก่อนการยื่นขอรับการประเมิน ผู้บริหารควรใช้รายการตรวจสอบนี้เพื่อประเมินความสอดคล้องและความเชื่อมโยงของผลงานทั้งหมดของตนเอง

  1. ความสอดคล้องกับนโยบาย: “ประเด็นท้าทาย” ใน PA ของท่าน ตอบสนองต่อนโยบายและจุดเน้นของ สพฐ. ในปัจจุบันโดยตรงหรือไม่?
  2. การเชื่อมโยงระหว่าง PA และภาระงาน: หลักฐานที่ใช้สนับสนุนตัวชี้วัดใน PA มาจากการปฏิบัติภาระงานตามกรอบ ว21/2564 อย่างเป็นระบบใช่หรือไม่?
  3. ตรรกะภายใน PA: “งาน” ที่ท่านกำหนด นำไปสู่ “ผลลัพธ์” ที่คาดหวัง และสามารถวัดได้ด้วย “ตัวชี้วัด” ที่น่าเชื่อถืออย่างเป็นเหตุเป็นผลหรือไม่?
  4. ความเชื่อมโยงระหว่าง PA และผลงานวิชาการ: ผลงานทางวิชาการ (ด้านที่ 3) ของท่าน คือการศึกษาวิจัยอย่างลึกซึ้งในประเด็นท้าทายและนวัตกรรมที่ท่านนำเสนอใน PA (ด้านที่ 1 และ 2) ใช่หรือไม่?
  5. ผลกระทบที่พิสูจน์ได้: ท่านมีข้อมูลเชิงประจักษ์ (ทั้งปริมาณและคุณภาพ) ที่เพียงพอเพื่อยืนยันว่าการดำเนินงานของท่านได้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นต่อทั้งผู้เรียน ครู และสถานศึกษา/เขตพื้นที่ จริงหรือไม่?

การนำทางระบบการประเมินวิทยฐานะดิจิทัล (DPA)

การยื่นขอรับการประเมินในปัจจุบันดำเนินการผ่านระบบดิจิทัล (DPA) ทั้งหมด 3 ซึ่งต้องการการเตรียมการด้านเทคนิคเพิ่มเติม:

  • การจัดเตรียมไฟล์: จัดทำเอกสารทั้งหมด (รายงาน PA, ผลงานทางวิชาการ) ให้อยู่ในรูปแบบไฟล์ PDF ที่สมบูรณ์และตรวจสอบความถูกต้องก่อนการอัปโหลด
  • ไฟล์วิดีทัศน์: สำหรับตำแหน่งที่ต้องมีการนำเสนอผลงานผ่านวิดีทัศน์ (เช่น ผู้บริหารสถานศึกษา) ข้อกำหนดสำคัญคือต้องเป็นการบันทึกที่แสดงสภาพจริงและเป็นธรรมชาติ ไม่มีการตัดต่อหรือใช้เทคนิคพิเศษใดๆ 9 โดยเน้นที่คุณภาพของเนื้อหามากกว่าคุณภาพการผลิตระดับมืออาชีพ
  • การตรวจสอบทางเทคนิค: ก่อนการส่ง ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไฟล์ทั้งหมดสามารถเปิดอ่านได้และไม่มีปัญหาทางเทคนิค เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลด้านความสมบูรณ์ของไฟล์ 42

การจำแนกความแตกต่างระหว่างวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษ

แม้ว่าโครงสร้างการประเมินจะคล้ายคลึงกัน แต่ระดับความคาดหวังสำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษนั้นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ผู้ขอรับการประเมินต้องเข้าใจความแตกต่างนี้เพื่อเตรียมผลงานให้สอดคล้องกับระดับวิทยฐานะที่ต้องการ

ตารางที่ 2: เปรียบเทียบระดับความคาดหวังระหว่างวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษ

องค์ประกอบการประเมินระดับความคาดหวัง: เชี่ยวชาญระดับความคาดหวัง: เชี่ยวชาญพิเศษ
ด้านที่ 1: นวัตกรรมการริเริ่ม พัฒนา: สามารถริเริ่มและพัฒนานวัตกรรมหรือกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหาในบริบทของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพการเป็นแบบอย่างและให้คำปรึกษา: นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นต้องมีความโดดเด่น สามารถเป็นต้นแบบให้ผู้อื่นนำไปปรับใช้ได้ และผู้บริหารสามารถให้คำปรึกษา แนะนำแก่ผู้อื่นในเรื่องดังกล่าวได้
ด้านที่ 2: ผลกระทบระดับเขตพื้นที่/หน่วยงาน: ผลลัพธ์จากการดำเนินงานส่งผลกระทบอย่างชัดเจนและครอบคลุมในวงกว้างระดับเขตพื้นที่การศึกษาหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบระดับชาติ/เป็นที่ยอมรับในวงวิชาการ: ผลกระทบที่เกิดขึ้นต้องมีความสำคัญในระดับที่กว้างขึ้น อาจส่งผลต่อนโยบาย หรือเป็นที่ยอมรับและถูกอ้างอิงในวงวิชาการระดับชาติ
ด้านที่ 3: ผลงานทางวิชาการผลงานวิจัยที่สมบูรณ์: มีผลงานทางวิชาการ (เช่น งานวิจัย R&D หรือรายงานการประเมินโครงการ) ที่มีคุณภาพตามหลักวิชาการและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการศึกษาผลงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์: ผลงานทางวิชาการต้องมีคุณภาพสูงมากพอจนได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI หรือฐานข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

โดยสรุป เส้นทางสู่การเป็นผู้บริหารการศึกษาเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษภายใต้หลักเกณฑ์ใหม่นี้ คือการเดินทางของการเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่สามารถผสานการปฏิบัติที่เป็นเลิศเข้ากับความรู้ความเข้าใจเชิงวิชาการได้อย่างลงตัว และที่สำคัญที่สุดคือสามารถพิสูจน์ได้ว่าความเป็นผู้นำของตนได้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่าและยั่งยืนต่อระบบการศึกษาได้อย่างแท้จริง

ผลงานที่อ้างอิง

  1. หนังสือสานักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.4/ว12 ลงวันที่ 20 พฤษ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://www.nst3.go.th/ita64/OIT27-4.5.pdf
  2. แนวทางการดำเนินการ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.phangngaedarea.go.th/site/wp-content/uploads/ita/66/O25/4/แนวทางPA.pdf
  3. ว21/2564 ภาระงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู ผู้บริหารสถานศึกษา ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ และตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา – สพม เพชรบุรี, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://spmphet.go.th/ว21-2564-ภาระงานของข้าราชการค/
  4. ว21/2564 ภาระงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู ผู้บริหารสถานศึกษา … – ครูไพโรจน์, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://krupairost.com/2021/11/w21-2564/
  5. ว12/2564 หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิท – Starfishlabz, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.starfishlabz.com/media/download/168212
  6. หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สายงานผู้บริหารการศึกษา (ว 12/2564) – ครูไพโรจน์, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://krupairost.com/2021/10/w12-pa/
  7. เรื่อง การกำหนดภาระงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา …, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.bbm.ac.th/images/para2566.pdf
  8. ภาระงานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู ว21/2564 », เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://krukob.com/web/v21-13/
  9. หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตาแหน่งและวิทยฐานะ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา – เชียงราย เขต 3, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.cr3.go.th/wp-content/uploads/2022/03/3.-หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา-ว9-ว12.pdf
  10. แนวทางการดำเนินการ – สพป.พังงา, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.phangngaedarea.go.th/site/wp-content/uploads/ita/66/O25/4/แนวทางว10.pdf
  11. แผนปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ของกระทรวงศึกษาธิการ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.moe.go.th/wp-content/uploads/2025/07/แผนปฏิบัติราชการ-ประจำปีงบประมาณ-พ.ศ.-2568-ของ-.pdf
  12. นโยบายและจุดเน้นของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.chan1.net/story/1270
  13. สรุปให้รู้ ตามทันโลกการศึกษา ep.24 นโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2567 – Aksorn, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.aksorn.com/ac1-educational-policy2024
  14. แผนปฏิบัติการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2568, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 www.sesalpglpn.go.th/wp-content/uploads/2025/02/สพม.ลำปาง%20ลำพูน%20แผนปฏิบัติการ%2068.pdf
  15. นโยบายสพฐ.ปีงบประมาณ พ.ศ.2564-2565 – ครูไทย, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.kruthai.in.th/?p=1017
  16. นโยบายและจุดเน้นของ สพฐ. ประจำปีงบประมาณ 2568-2569, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 www.secondarytak.go.th/wp-content/uploads/2024/11/67-11-25-นโยบายและจุดเน้นของ-สพฐ.-ประจำปีงบประมาณ-2568-2569.pdf
  17. OBEC ONE TEAM เลขาธิการ กพฐ. – ว่าทีร้อยตรี ธนุวงษ์จินดา การประชุมผู้อํานวยการสํานักงานเขตพืนทีการศึกษา ครังที 1/ 2568 7 พฤศจิกายน 2567 ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://nb2.go.th/wp-content/uploads/2024/11/นโยบายและจุดเน้น.สพฐ.-68-69-13-ข้อ.pdf
  18. แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายและจุดเน้น และ – สพป.นครราชสีมา เขต 3, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://korat3.go.th/action-plan/upload/1709171307.pdf
  19. แผนปฏิบัติการ ประจําปงบประมาณ พ.ศ. 2568, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.sesapy.go.th/wp-content/uploads/แผนปฏิบัติการ-ปี-68-สพฐ.pdf
  20. รายละเอียดการจัดส่งเอกสารหลักฐานเพื่อประกอ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://personnel.obec.go.th/web/wp-content/uploads/2025/07/การส่งเอกสาร-ว-12-2564-ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษ.pdf
  21. ตัวชี้วัดในการประเมินเพื่อให้มีวิทยฐานะ และเลื่อนวิทยฐานะ ว 23/2564 », เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://krukob.com/web/v23-5/
  22. แบบข้อตกลงในการพัฒนางาน PA ผู้บริหารสถานศึกษา, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://personnel.obec.go.th/web/wp-content/uploads/2025/07/การส่งเอกสาร-ว-12-2564-ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษ.pdf
  23. ตัวอย่าง PA1 ผู้บริหารสถานศึกษา เอกสารประกอบการอบรม, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://utdone.net/nited/wp-content/uploads/2022/01/002.ตัวอย่าง-PA1-บส-2-ผู้บริหารสถานศึกษา222255555.pdf
  24. แบบรายงานการพัฒนางานตามข้อตกลงในการพัฒนางาน (PA), เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://banphudinschool.com/แบบรายงาน%20รอบปีที่%203%20สุรศักดิ์%20พิมพ์ศรี.pdf
  25. รายงานผลการปฏิบัติงานตามข้อตกลงในการพัฒนางาน (PA) ของข้าราชการครูและ – โรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://www.anuban.ac.th/_files_school/80102256/workteacher/80102256_1_20240917-154355.pdf
  26. กรอบการทำผลงานทางวิชาการเพื่อขอมีวิทยฐานะ – โรงเรียนบ้านนาทวี, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://bannathawee.ac.th/datashow_91971
  27. 5 มติเห็นชอบ ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) พิจารณาเรื่องการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ครั้งที่ 9/2567 – Starfishlabz, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.starfishlabz.com/ข่าว/1790-5-มติเห็นชอบ-ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา-ก-ค-ศ-พิจารณาเรื่องการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา-ครั้งที่-9-2567
  28. ผลงานวิชาการ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://research.otepc.go.th/
  29. ผลงาน ผอ.คศ.4 – Trick2Pass, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://trick2pass.com/director_ks4/
  30. ก.ค.ศ.อนุมัติครู-ผอ.วิทยฐานะเชี่ยวชาญ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://edunewssiam.com/th/articles/260832-ก.ค.ศ.อนุมัติครู-ผอ.วิทยฐานะเชี่ยวชาญ
  31. การวิจัยเชิงพรรณนา มีรูปแบบการเขียนอย่างไรให้เข้าใจง่าย, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.xn--12co8bkb4ccba6b3geffwj63b.com/descriptive-research-writing-style/
  32. เทคนิคการเขียนบทความทางวิชาการด้วยวิจัยเชิง คุณภาพ เพื่อเผยแพร่ใน …, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://www.ba.ru.ac.th/images/KM2565/BA8-65.pdf
  33. การวิจัยเชิงพรรณนา: ลักษณะวิธีการ + ตัวอย่าง – QuestionPro, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.questionpro.com/blog/th/การวิจัยเชิงพรรณนา-ลักษ/
  34. Thai-Journal Citation Centre, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://tci-thailand.org/
  35. Thai-Journal Citation Centre – TCI, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://tci-thailand.org/journal_list
  36. รายชื่อวารสารที่ผ่านการรับรองคุณภาพจาก TCI (กลุ่มที่1) – จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://www2.fpcs.chula.ac.th/from.pdf/TCI-%201-58.pdf
  37. รายชื่อวารสารที่ผ่านการรับรองคุณภาพจาก TCI (กลุ่มที่1), เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://research.pn.psu.ac.th/main/file/vijai62/62.11.6.pdf
  38. ฐานข้อมูลวารสารด้านการศึกษา (บางส่วน) ลำดับ ที่ ชื่อวารสาร ลิงค์ ฐาน ค่าตีพิมพ์บทความ (ต่อฉบับ) 1. วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ – cucm.yru.ac.th – มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.questionpro.com/blog/th/การวิจัยเชิงพรรณนา-ลักษ/
  39. ดาวน์โหลดตัวอย่างผลงานวิชาการ ฟรี จาก ก.ค.ศ. – ครูเชียงราย, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.kruchiangrai.net/2023/08/13/ดาวน์โหลดตัวอย่างผลงาน/
  40. งานวิจัย – ผลงานวิชาการ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://research.otepc.go.th/v_research_list.php
  41. TCI : Thai-Journal Citation Index Centre – Library and Information Center, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://library.nida.ac.th/th/online_database/tci-thai-journal-citation-index-centre/
  42. ว12/2564 หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://spmphet.go.th/ว12-2564-หลักเกณฑ์และวิธีการป/

1 thoughts on “แนวทางการขอเลื่อนวิทยฐานะผู้บริหารการศึกษาเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!