แนวปฏิบัติสู่การเลื่อนวิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ: การคิดค้นและปรับเปลี่ยนนวัตกรรมการนิเทศตามเกณฑ์ ว11/2564


แนวปฏิบัติสู่การเลื่อนวิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ: การคิดค้นและปรับเปลี่ยนนวัตกรรมการนิเทศตามเกณฑ์ ว11/2564

ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ สพม.นครราชสีมา
Musicmankob@gmail.com 4 กันยายน 2568

บทที่ 1: การถอดรหัสเกณฑ์ ว11/2564 เพื่อการสร้างสรรค์ผลงานสู่ความเป็นเลิศ

บทนำ: จาก “ผู้ปฏิบัติ” สู่ “ผู้เชี่ยวชาญ” – ความคาดหวังของวิทยฐานะเชี่ยวชาญ

การขอเลื่อนวิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ (ว11/2564) 1 ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์ที่สำคัญยิ่ง จากบทบาทของ “ผู้ปฏิบัติงาน” (Practitioner) ที่มีความชำนาญในการดำเนินงานตามแนวทางที่มีอยู่ ไปสู่บทบาทของ “ผู้เชี่ยวชาญ” (Expert) ซึ่งเป็นผู้นำทางความคิดและผู้สร้างสรรค์แนวทางใหม่.3 ความคาดหวังสำหรับวิทยฐานะนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงการปฏิบัติงานนิเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้องการหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงถึงความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหการศึกษาอย่างลึกซึ้ง การริเริ่ม คิดค้น และพัฒนานวัตกรรมการนิเทศที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในวงวิชาชีพได้อย่างเป็นรูปธรรม.4 ดังนั้น เอกสารประกอบการประเมินจึงต้องสะท้อนถึงการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ที่ไม่เพียงแต่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังสามารถสร้างองค์ความรู้และต้นแบบที่ยั่งยืนให้แก่เพื่อนร่วมวิชาชีพได้

การนิยามศัพท์เชิงปฏิบัติการ: ตีความคำสำคัญเพื่อการประเมิน

เพื่อให้การจัดทำผลงานเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเกณฑ์การประเมิน การทำความเข้าใจนิยามเชิงปฏิบัติการของคำสำคัญจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

การคิดค้น (Invention/Creation): ในบริบทของวิทยฐานะเชี่ยวชาญ “การคิดค้น” มิได้หมายถึงเพียงการสร้างสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่หมายถึงกระบวนการที่เป็นระบบในการวิเคราะห์สภาพปัญหาทางการศึกษา เพื่อออกแบบและสร้างสรรค์แนวทาง รูปแบบ กระบวนการ หรือเครื่องมือการนิเทศใหม่ ที่ไม่เคยถูกนำมาใช้ในบริบทเดิมอย่างเป็นระบบมาก่อน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญทางการศึกษาอย่างตรงจุด.5 กระบวนการนี้สอดคล้องกับแนวคิด “การนิเทศเพื่อการสร้างสรรค์” (Creation Supervision) ที่มุ่งเน้นการริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในสถานศึกษา 5 และอาจแสดงออกผ่านการพัฒนานวัตกรรมที่มีขั้นตอนชัดเจน เช่น รูปแบบการนิเทศ 5 ขั้นตอน (ความรู้ การนำไปใช้ การสะท้อนผล การประเมินผล และประสิทธิภาพ).6

การปรับเปลี่ยน (Adaptation/Change): หมายถึง การนำแนวคิด ทฤษฎี รูปแบบ หรือนวัตกรรมการนิเทศที่มีอยู่เดิม มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และพัฒนาต่อยอด หรือประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับบริบทเฉพาะของพื้นที่ที่รับผิดชอบอย่างมีนัยสำคัญ จนเกิดผลลัพธ์ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจนและสามารถวัดผลได้.7 การปรับเปลี่ยนต้องแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนของผู้รับการนิเทศ 5 และเป็นการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (Social Change) ที่ส่งผลต่อการจัดการศึกษา.8

นวัตกรรม (Innovation): คือผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากการ “คิดค้น” หรือ “ปรับเปลี่ยน” ซึ่งสามารถจำแนกได้หลายประเภท เช่น นวัตกรรมเชิงกระบวนการ (เช่น รูปแบบการนิเทศใหม่ๆ), นวัตกรรมสื่อและเครื่องมือ (เช่น คู่มือการนิเทศ ชุดฝึกอบรม แพลตฟอร์มออนไลน์), และ นวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยี (เช่น ระบบการนิเทศทางไกลผ่านแอปพลิเคชัน).9

การเป็นแบบอย่างที่ดี (Being a Good Model): ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการประพฤติตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพ แต่คือการที่กระบวนการและผลงานที่ได้ “คิดค้นและปรับเปลี่ยน” นั้น มีความสมบูรณ์ ชัดเจน และมีประสิทธิภาพ จนสามารถถอดบทเรียน (Lesson Learned) และจัดทำเป็นเอกสารหรือคู่มือ เพื่อให้ศึกษานิเทศก์หรือบุคลากรทางการศึกษาอื่นสามารถนำไปศึกษาและปฏิบัติตามได้จริง.3 การเป็นแบบอย่างที่ดีในระดับเชี่ยวชาญคือความสามารถในการสาธิตกระบวนการที่มีประสิทธิภาพและให้คำแนะนำเพื่อการขยายผลได้.5

การบูรณาการองค์ประกอบการประเมิน 3 ด้าน: สร้างเรื่องราวแห่งความเชี่ยวชาญ

กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการประเมินวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ไม่ได้อยู่ที่การจัดทำเอกสาร 3 ด้านแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง แต่อยู่ที่การสร้าง “เรื่องราว” (Narrative) ของการพัฒนางานเพียงเรื่องเดียวที่ร้อยเรียงทั้งสามด้านเข้าด้วยกันอย่างเป็นเหตุเป็นผลและมีพลัง การพัฒนานวัตกรรมการนิเทศหนึ่งชิ้น จะกลายเป็นแกนกลางที่เชื่อมโยงการประเมินทั้งสามด้านเข้าไว้ด้วยกัน

ด้านที่ 1 ด้านทักษะการวางแผนพัฒนาการนิเทศการศึกษา (40 คะแนน): เปรียบเสมือน “บทนำ” ของเรื่องราวทั้งหมด ส่วนนี้คือการนำเสนอแผนการดำเนินงานเพื่อ “คิดค้นและปรับเปลี่ยนนวัตกรรม” โดยเริ่มต้นจากการวิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการจำเป็นอย่างเป็นระบบ นำไปสู่การออกแบบกลยุทธ์ สื่อ และนวัตกรรมการนิเทศที่สร้างสรรค์เพื่อแก้ไขปัญหานั้นๆ.3

ด้านที่ 2 ด้านผลลัพธ์ในการพัฒนาการนิเทศการศึกษา (20 คะแนน): คือ “เนื้อเรื่อง” ที่นำเสนอหลักฐานเชิงประจักษ์ว่านวัตกรรมที่วางแผนไว้ในด้านที่ 1 เมื่อนำไปปฏิบัติจริงแล้ว ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกอย่างไร การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับครู ผู้เรียน และคุณภาพของสถานศึกษา คือหัวใจสำคัญของส่วนนี้.3

ด้านที่ 3 ด้านผลงานทางวิชาการ (100 คะแนน): ทำหน้าที่เป็น “บทสรุปและบทวิเคราะห์” ที่กลั่นกรองกระบวนการและผลลัพธ์ทั้งหมดจากด้านที่ 1 และ 2 ให้ตกผลึกเป็นองค์ความรู้ใหม่ หรือ “นวัตกรรมที่เป็นแบบอย่าง” ที่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักวิชาการ และมีคุณค่าเพียงพอที่จะเผยแพร่เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในวงวิชาชีพในวงกว้าง.3

ดังนั้น การออกแบบโครงการพัฒนานวัตกรรมที่มีคุณภาพเพียงหนึ่งโครงการ จะทำให้ศึกษานิเทศก์สามารถสร้างเอกสารหลักฐานที่สอดคล้องและส่งเสริมกันในทุกมิติของการประเมินได้อย่างสมบูรณ์

บทที่ 2: กรอบแนวคิดการนิเทศเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม (Supervision for Innovation Framework: SIF) – กระบวนการสู่การ “คิดค้นและปรับเปลี่ยน”

บทนำ: ทำไมนวัตกรรมจึงต้องเกิดจาก “การนิเทศ”

ในบริบทการศึกษาปัจจุบัน การนิเทศการศึกษามิใช่กระบวนการตรวจสอบหรือสั่งการ แต่เป็นกระบวนการทำงานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ 11 เพื่อ “แนะนำช่วยเหลือ” 7 และ “สนับสนุนให้ครูได้รับการพัฒนา” 8 ให้สามารถจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การนิเทศจึงเป็นกลไกสำคัญที่เอื้อให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมจากฐานของการปฏิบัติงานจริง (Practice-based Innovation) โดยมีศึกษานิเทศก์เป็นผู้อำนวยความสะดวกและเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนา

ขั้นตอนที่ 1: การวิเคราะห์สภาพปัญหาและกำหนดประเด็นท้าทาย (Problem & Needs Analysis)

จุดเริ่มต้นของนวัตกรรมที่มีคุณค่าคือการทำความเข้าใจปัญหาอย่างถ่องแท้ ศึกษานิเทศก์ต้องเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของสถานศึกษาที่รับผิดชอบอย่างรอบด้าน เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนในระดับต่างๆ ผลการประเมินคุณภาพการศึกษา และนโยบายสำคัญทางการศึกษา.12 ควบคู่ไปกับการสำรวจความต้องการจำเป็น (Needs Assessment) ของครูและผู้บริหารผ่านวิธีการที่หลากหลาย เช่น การสนทนากลุ่ม การใช้แบบสอบถาม หรือการสังเกตการณ์ในชั้นเรียน.13 ผลการวิเคราะห์จะนำไปสู่การระบุ “ช่องว่าง” (Gap) หรือปัญหาเร่งด่วนที่ต้องได้รับการแก้ไข ซึ่งจะถูกนำมาสังเคราะห์และกำหนดเป็น

“ประเด็นท้าทาย” (Challenging Issue) ที่มีความสำคัญ สามารถวัดผลการเปลี่ยนแปลงได้ และเป็นแกนกลางในการพัฒนานวัตกรรมตลอดทั้งกระบวนการ.14

ขั้นตอนที่ 2: การบูรณาการรูปแบบการนิเทศเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม (Integrating Supervision Models)

การ “คิดค้นและปรับเปลี่ยน” นวัตกรรมในระดับเชี่ยวชาญนั้น ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการใช้รูปแบบการนิเทศเพียงรูปแบบเดียว แต่ต้องอาศัยการสังเคราะห์จุดแข็งของรูปแบบการนิเทศที่หลากหลายเข้ามาเป็น “กระบวนการนิเทศแบบผสมผสาน” (Blended Supervision Approach).16 กรอบแนวคิดการนิเทศเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม (Supervision for Innovation Framework: SIF) ที่นำเสนอนี้ คือการบูรณาการ 4 รูปแบบการนิเทศหลักเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ เพื่อขับเคลื่อนกระบวนการสร้างนวัตกรรมตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งตัวกรอบแนวคิด SIF นี้เอง สามารถนำเสนอเป็นนวัตกรรมการนิเทศที่ศึกษานิเทศก์ได้ “คิดค้น” ขึ้น

ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) – เครื่องยนต์แห่งความร่วมมือ

กระบวนการเริ่มต้นด้วยการใช้ ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) เป็นกลไกหลักในการสร้างวัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน.17 PLC ไม่ใช่เพียงการประชุม แต่เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ครู ผู้บริหาร และศึกษานิเทศก์ได้ร่วมกันวิเคราะห์ “ประเด็นท้าทาย” ที่กำหนดไว้ แบ่งปันประสบการณ์ และระดมสมองเพื่อหาแนวทางแก้ไข.18 การขับเคลื่อนผ่าน PLC ช่วยสร้างความเป็นเจ้าของร่วมกันในปัญหาและนวัตกรรมที่จะพัฒนาขึ้น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของ “ภาวะผู้นำแบบร่วมกัน” (Shared Leadership).19

การศึกษาชั้นเรียน (Lesson Study) – ห้องปฏิบัติการ R&D

เมื่อ PLC ได้กำหนดทิศทางและแนวคิดเบื้องต้นของนวัตกรรม (เช่น วิธีการสอนแบบใหม่) แล้ว จะเข้าสู่กระบวนการ การศึกษาชั้นเรียน (Lesson Study) ซึ่งทำหน้าที่เสมือนห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในโรงเรียน.20 ทีมครูในกลุ่ม PLC จะร่วมกันดำเนินงานตามวงจร Plan (ร่วมกันออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ที่เป็นนวัตกรรม), Do (ครูหนึ่งคนนำแผนไปทดลองสอน โดยมีทีมงานร่วมสังเกตการณ์), และ See (ร่วมกันสะท้อนผลการสอนและผลที่เกิดกับผู้เรียน).21 วงจรนี้จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเพื่อ “ปรับเปลี่ยน” และพัฒนานวัตกรรมการสอนนั้นจนมีประสิทธิภาพสูงสุด กระบวนการนี้สร้างหลักฐานเชิงประจักษ์ของการพัฒนานวัตกรรมอย่างเป็นระบบและมีข้อมูลรองรับ

การนิเทศแบบคลินิก (Clinical Supervision) – กลไกการเก็บข้อมูลและให้ข้อมูลป้อนกลับ

ในขั้นตอน Do และ See ของ Lesson Study จะมีการนำกระบวนการของ การนิเทศแบบคลินิก (Clinical Supervision) มาใช้เป็นเครื่องมือหลักในการเก็บข้อมูลและให้ข้อมูลป้อนกลับ.22 กระบวนการนี้ประกอบด้วย 1) การประชุมวางแผนก่อนการสังเกต (Pre-conference) เพื่อทำความเข้าใจเป้าหมายและจุดสังเกตร่วมกัน 2) การสังเกตการณ์ในชั้นเรียน (Observation) อย่างเป็นระบบโดยใช้เครื่องมือที่น่าเชื่อถือ และ 3) การประชุมให้ข้อมูลย้อนกลับหลังการสังเกต (Post-conference) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและร่วมกันหาแนวทางปรับปรุง.23 การนิเทศแบบคลินิกช่วยให้การ “ปรับเปลี่ยน” นวัตกรรมมีฐานมาจากข้อมูลจริง (Data-driven) ไม่ใช่ความรู้สึก

การนิเทศแบบโค้ช (Coaching) – กลไกการพัฒนาครูสู่ความยั่งยืน

หลังจากที่นวัตกรรมการสอนได้รับการพัฒนาจนมีประสิทธิภาพแล้ว บทบาทของศึกษานิเทศก์จะเปลี่ยนไปสู่การเป็น โค้ช (Coach).25 การนิเทศแบบโค้ชจะมุ่งเน้นการทำงานกับครูเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มย่อย เพื่อสนับสนุนให้ครูสามารถนำนวัตกรรมไปใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและยั่งยืน.26 เทคนิคที่ใช้ประกอบด้วยการตั้งคำถามทรงพลังเพื่อกระตุ้นการคิด การช่วยสะท้อนการปฏิบัติ (Reflection) และการเสริมสร้างพลังอำนาจ (Empowerment) ให้ครูค้นพบศักยภาพและสามารถพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมได้ด้วยตนเองในระยะยาว.25

ตารางที่ 1: เมทริกซ์การบูรณาการกรอบแนวคิด SIF (The SIF Integration Matrix)

ขั้นตอนใน SIFรูปแบบการนิเทศหลักกิจกรรมหลักผลลัพธ์ที่คาดหวังตัวชี้วัด ว11/2564 ที่เกี่ยวข้อง
1. วิเคราะห์ปัญหาและสร้างทีมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC)– วิเคราะห์ข้อมูลสภาพปัญหา
– กำหนดประเด็นท้าทายร่วมกัน
– สร้างทีมทำงานและกำหนดเป้าหมาย
– ทีมครูมีความเข้าใจและเป็นเจ้าของปัญหาร่วมกัน
– เกิดวัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน
7) ระดมทรัพยากร เครือข่ายฯ
8) ภาวะผู้นำแบบร่วมกัน
2. คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมการศึกษาชั้นเรียน (Lesson Study)– ร่วมกันออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้/สื่อที่เป็นนวัตกรรม (Plan)
– ทดลองใช้และสังเกตการณ์ในชั้นเรียน (Do)
– สะท้อนผลเพื่อปรับปรุงแผน (See)
– เกิดต้นแบบนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการทดลองและปรับปรุง1) กระบวนการจัดการเรียนรู้
2) คุณภาพของหลักสูตรและนักเรียน
6) ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม
3. ตรวจสอบและให้ข้อมูลป้อนกลับการนิเทศแบบคลินิก (Clinical Supervision)– ประชุมวางแผนก่อนสังเกต
– สังเกตและบันทึกข้อมูลการสอนเชิงประจักษ์
– ประชุมสะท้อนผลหลังการสอน
– ครูได้รับข้อมูลป้อนกลับที่มีคุณภาพเพื่อนำไปปรับปรุงการใช้นวัตกรรม5) การจัดการเรียนรู้/การแก้ปัญหาของผู้รับการนิเทศ
4. พัฒนาสู่ความยั่งยืนการนิเทศแบบโค้ช (Coaching) และระบบพี่เลี้ยง (Mentoring)– ให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัว/กลุ่มย่อย
– ใช้คำถามกระตุ้นการคิดเพื่อการพัฒนาตนเอง
– จัดระบบพี่เลี้ยงช่วยเหลือกันในกลุ่ม PLC
– ครูมีสมรรถนะและความมั่นใจในการใช้นวัตกรรมและสามารถพัฒนาต่อยอดได้3) การพัฒนาสมรรถนะ
4) การสอนงานระบบพี่เลี้ยง

ขั้นตอนที่ 3: การสร้างและพัฒนานวัตกรรมการนิเทศ (Developing the Innovation)

จากกรอบ SIF ศึกษานิเทศก์สามารถพัฒนานวัตกรรมที่เป็นรูปธรรมได้หลากหลาย โดยกระบวนการสร้างควรเป็นไปอย่างมีขั้นตอน ตั้งแต่การศึกษาทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การออกแบบร่างนวัตกรรม การนำไปทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพ และการปรับปรุงแก้ไขอย่างต่อเนื่อง.9 ตัวอย่างนวัตกรรมที่สามารถพัฒนาได้ เช่น:

  • “รูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการ SIF Model เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ”
  • “ชุดเครื่องมือการนิเทศออนไลน์สำหรับการพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงโดยใช้กระบวนการ Lesson Study”
  • “คู่มือการดำเนินงานชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง”

ขั้นตอนที่ 4: การนำไปใช้, การประเมินผล, และการปรับเปลี่ยน (Implementation & Evaluation)

ขั้นตอนนี้คือการนำนวัตกรรมไปใช้ในสถานการณ์จริง และเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินประสิทธิผลอย่างเป็นระบบ การเก็บข้อมูลควรครอบคลุมทั้งในเชิงปริมาณ (เช่น คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน) และเชิงคุณภาพ (เช่น พฤติกรรมการสอนของครูที่เปลี่ยนแปลงไป, การสะท้อนคิดของนักเรียน).27 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลควรมีความน่าเชื่อถือ เช่น แบบสังเกตพฤติกรรมที่มีโครงสร้าง, แบบสัมภาษณ์เชิงลึก, แบบประเมินชิ้นงาน, และแบบสอบถามความพึงพอใจ.24 ข้อมูลที่รวบรวมได้จะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อ “ปรับเปลี่ยน” นวัตกรรมให้มีคุณภาพสูงขึ้น และใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการเขียนรายงานด้านที่ 2

ขั้นตอนที่ 5: การสังเคราะห์และถอดบทเรียนสู่ “ต้นแบบ” (Synthesizing the Model)

เมื่อกระบวนการสิ้นสุดลงและนวัตกรรมได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ ศึกษานิเทศก์จะต้องสังเคราะห์และถอดบทเรียนจากกระบวนการทั้งหมด เพื่อนำเสนอให้เห็นเป็น “รูปแบบ” (Model) หรือ “แนวปฏิบัติที่ดี” (Best Practice) ที่มีขั้นตอนการดำเนินงานที่ชัดเจน มีหลักการและทฤษฎีรองรับ และที่สำคัญคือสามารถนำไปเผยแพร่ให้ผู้อื่นนำไปปรับใช้ในบริบทที่แตกต่างกันได้.18 ผลลัพธ์ในขั้นตอนนี้คือหัวใจสำคัญของการเป็น “แบบอย่างที่ดี” และเป็นวัตถุดิบหลักในการเขียนผลงานทางวิชาการในด้านที่ 3

บทที่ 3: แนวทางการเขียนรายงานผลการพัฒนางาน (ด้านที่ 1 และ 2) อย่างมีชั้นเชิง

หลักการเขียน: จาก “การบรรยาย” สู่ “การนำเสนอหลักฐาน”

การเขียนรายงานเพื่อขอเลื่อนวิทยฐานะเชี่ยวชาญต้องก้าวข้ามการเขียนเชิงพรรณนา (Descriptive Writing) ที่เป็นเพียงการบอกเล่าว่าได้ทำกิจกรรมอะไรไปบ้าง ไปสู่การเขียนเชิงวิเคราะห์ (Analytical Writing) ที่แสดงให้เห็นกระบวนการคิด การตัดสินใจ และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นเหตุเป็นผล.13 หัวใจสำคัญคือการใช้ข้อมูลเป็นฐานในการนำเสนอ (Data-Driven Presentation) 12 โดยทุกข้อความที่กล่าวอ้างต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุนเสมอ การประเมินไม่เน้นการประเมินจากเอกสาร แต่เน้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงจากการพัฒนางาน.15

การเขียนรายงานด้านที่ 1: ทักษะการวางแผนพัฒนาการนิเทศ (40 คะแนน)

รายงานส่วนนี้คือการนำเสนอแผนการพัฒนานวัตกรรมตามกรอบ SIF ที่ได้ออกแบบไว้ โดยต้องเชื่อมโยงกิจกรรมต่างๆ ให้สอดคล้องกับตัวบ่งชี้ทั้ง 8 ข้ออย่างชัดเจน

1) กระบวนการจัดการเรียนรู้: นำเสนอแผนการนิเทศที่ใช้กระบวนการ PLC และ Lesson Study เป็นเครื่องมือในการร่วมกันพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครูให้มีคุณภาพสูงขึ้น.18

2) คุณภาพของหลักสูตรและนักเรียน: แสดงให้เห็นว่ากระบวนการ Lesson Study ที่วางแผนไว้มีการวิเคราะห์มาตรฐานและตัวชี้วัดในหลักสูตร เพื่อออกแบบหน่วยการเรียนรู้และกิจกรรมที่เน้นการพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนอย่างแท้จริง.20

3) การพัฒนาสมรรถนะ: อธิบายแผนการนิเทศแบบโค้ช (Coaching) ที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาสมรรถนะของครูผู้เข้าร่วมโครงการเป็นรายบุคคล โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ได้จากการนิเทศแบบคลินิก.26

4) การสอนงานระบบพี่เลี้ยง: นำเสนอแผนการจัดตั้งระบบพี่เลี้ยง (Mentoring) ภายในกลุ่ม PLC โดยให้ครูที่มีประสบการณ์มากกว่าทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับเพื่อนครูในการนำนวัตกรรมไปปรับใช้.25

5) การจัดการเรียนรู้/การแก้ปัญหาของผู้รับการนิเทศ: แสดงตัวอย่างแผนการนิเทศแบบคลินิก (Clinical Supervision) ที่มีขั้นตอนชัดเจนในการร่วมกันวิเคราะห์และแก้ปัญหาการจัดการเรียนรู้ที่พบระหว่างการทดลองใช้นวัตกรรม.22

6) ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม: นำเสนอ “กรอบแนวคิด SIF” หรือนวัตกรรมหลักที่ได้ออกแบบขึ้น พร้อมอธิบายหลักการ เหตุผล และความโดดเด่นที่แสดงถึงความคิดสร้างสรรค์.9

7) ระดมทรัพยากร เครือข่าย และความร่วมมือ: แสดงแผนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ เช่น การเชิญผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก (มหาวิทยาลัย, ศึกษานิเทศก์ต่างเขตพื้นที่) เข้ามาเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่ม PLC หรือการสร้างเครือข่ายระหว่างโรงเรียนเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้.18

8) ภาวะผู้นำแบบร่วมกัน: อธิบายบทบาทของศึกษานิเทศก์ในฐานะ “ผู้อำนวยความสะดวก” (Facilitator) ที่กระตุ้นและสนับสนุนให้เกิดกระบวนการทำงานร่วมกันในกลุ่ม PLC จนเกิดเป็นภาวะผู้นำร่วมกันของสมาชิกทุกคน.17

การเขียนรายงานด้านที่ 2: ผลลัพธ์ในการพัฒนาการนิเทศ (20 คะแนน)

รายงานส่วนนี้ต้องแสดงให้เห็นถึง “สายโซ่แห่งผลลัพธ์” (Results Chain) ที่ชัดเจน กล่าวคือ ต้องแสดงให้เห็นว่าการนิเทศด้วยนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้น (การกระทำ) นำไปสู่การพัฒนาสมรรถนะและพฤติกรรมการสอนของครู (ผลลัพธ์ระดับที่ 1) ซึ่งส่งผลต่อไปยังการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน (ผลลัพธ์ระดับที่ 2) และท้ายที่สุดนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้นและคุณภาพสถานศึกษาที่ดีขึ้น (ผลกระทบ) การนำเสนอข้อมูลเชิงเปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังการดำเนินงานเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

1) ผลงานหรือผลการปฏิบัติเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการนิเทศ: สรุปประสิทธิผลของนวัตกรรมที่นำไปใช้ โดยอาจนำเสนอในรูปแบบของรายงานการประเมินโครงการที่แสดงให้เห็นว่านวัตกรรมบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้.27

2) ผลงานหรือผลการปฏิบัติส่งผลถึงการพัฒนาครู: นำเสนอข้อมูลเชิงประจักษ์ที่แสดงการเปลี่ยนแปลงของครู เช่น คะแนนประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ที่สูงขึ้น, ผลการวิเคราะห์พฤติกรรมการสอนจากการสังเกตการณ์ในชั้นเรียนที่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น, หรือผลงาน/นวัตกรรมที่ครูสร้างขึ้น.23

3) ผลงานหรือผลการปฏิบัติส่งผลถึงการพัฒนาผู้เรียน: แสดงข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของผู้เรียนที่ชัดเจน เช่น คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (O-NET, NT) ที่สูงขึ้น, คะแนนการประเมินสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน, หรือการวิเคราะห์คุณภาพชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนที่แสดงถึงทักษะการคิดขั้นสูง.20

4) ผลงานหรือผลการปฏิบัติส่งผลถึงคุณภาพสถานศึกษา: แสดงหลักฐานที่สะท้อนถึงการยกระดับคุณภาพของสถานศึกษาในภาพรวม เช่น ผลการประเมินคุณภาพภายในหรือภายนอกที่ดีขึ้น, การที่สถานศึกษาได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติ, หรือการได้รับการยอมรับให้เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับโรงเรียนอื่น.3

ตารางที่ 2: ตารางสรุปผลกระทบเชิงเปรียบเทียบก่อน-หลังการใช้นวัตกรรม (Pre-Post Innovation Impact Summary Table)

ตัวชี้วัดความสำเร็จสภาพก่อนดำเนินงาน (Baseline Data)สภาพหลังดำเนินงาน (Post-Intervention Data)ค่าการเปลี่ยนแปลงแหล่ง/เครื่องมือที่ใช้วัด
ระดับครู
1. สมรรถนะการออกแบบการเรียนรู้คะแนนเฉลี่ยการประเมินแผนฯ = 2.5/5คะแนนเฉลี่ยการประเมินแผนฯ = 4.5/5เพิ่มขึ้น 80%แบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้
2. พฤติกรรมการใช้คำถามกระตุ้นคิดพบเฉลี่ย 3 ครั้ง/คาบพบเฉลี่ย 15 ครั้ง/คาบเพิ่มขึ้น 400%แบบสังเกตพฤติกรรมการสอน
ระดับผู้เรียน
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (วิชา…)คะแนนเฉลี่ย Pre-test = 42%คะแนนเฉลี่ย Post-test = 85%เพิ่มขึ้น 43%แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
2. ทักษะการทำงานร่วมกันคะแนนประเมินเฉลี่ย = “พอใช้”คะแนนประเมินเฉลี่ย = “ดีมาก”พัฒนาขึ้น 2 ระดับแบบประเมินสมรรถนะ
ระดับสถานศึกษา
1. คะแนนเฉลี่ย O-NET (วิชา…)35.50 (ปีการศึกษา 256X)48.75 (ปีการศึกษา 256Y)เพิ่มขึ้น 13.25 คะแนนรายงานผล O-NET
2. การเป็นแหล่งเรียนรู้ไม่เคยเป็นแหล่งเรียนรู้ได้รับคัดเลือกเป็นโรงเรียนต้นแบบ 1 แห่งหนังสือแต่งตั้ง/ประกาศ

บทที่ 4: กลยุทธ์การเขียนผลงานทางวิชาการ (ด้านที่ 3) ที่สะท้อนความเชี่ยวชาญ

การเลือกประเภทผลงานทางวิชาการที่เหมาะสม

ผลงานทางวิชาการในด้านที่ 3 ไม่ควรเป็นงานวิจัยที่แยกขาดออกจากงานในหน้าที่ แต่ควรเป็นบทสรุปเชิงวิชาการที่ทำการวิเคราะห์และรับรองความน่าเชื่อถือของนวัตกรรมที่ได้พัฒนาและนำเสนอผลลัพธ์ไปแล้วในด้านที่ 1 และ 2 ประเภทของผลงานทางวิชาการที่เหมาะสมอย่างยิ่งคือ งานวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D) ซึ่งมีกระบวนการสอดคล้องกับการสร้างและประเมินนวัตกรรมโดยตรง นอกจากนี้ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) หรือ รายงานการประเมินโครงการ (Project Evaluation Report) ก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมเช่นกัน.29 การกำหนดหัวข้อวิจัยควรมุ่งเน้นไปที่การประเมินประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และความเป็นไปได้ในการขยายผลของนวัตกรรมที่ได้ “คิดค้นและปรับเปลี่ยน” ขึ้น

โครงสร้างของผลงานทางวิชาการระดับเชี่ยวชาญ

การเขียนผลงานทางวิชาการต้องมีโครงสร้างที่เป็นไปตามระเบียบวิธีวิจัยที่เลือกใช้ และต้องสะท้อนความลุ่มลึกในเชิงวิชาการ

บทที่ 1 บทนำ: ชี้ให้เห็นถึงที่มาและความสำคัญของปัญหาโดยอ้างอิงจาก “ประเด็นท้าทาย” ที่กำหนดไว้ กำหนดวัตถุประสงค์ ขอบเขต และนิยามศัพท์เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรม

บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง: ส่วนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการแสดงภูมิความรู้ของศึกษานิเทศก์ จะต้องไม่ใช่เพียงการรวบรวมทฤษฎี แต่เป็นการ “สังเคราะห์” แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการนิเทศ (เช่น PLC, Lesson Study, Clinical Supervision, Coaching) เพื่อนำมาสร้างเป็น “กรอบแนวคิดในการวิจัย” (Conceptual Framework) ที่เป็นฐานในการพัฒนานวัตกรรมของตนเอง.29

บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย: อธิบายขั้นตอนการพัฒนานวัตกรรม (ตามกรอบ SIF) และกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียด ระบุประชากร กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย และการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างชัดเจน

บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล: นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมได้อย่างเป็นระบบ โดยอาจนำเสนอข้อมูลจาก “ตารางสรุปผลกระทบเชิงเปรียบเทียบ” (ตารางที่ 2) มาขยายความและตีความผลในเชิงสถิติและเชิงคุณภาพอย่างลึกซึ้ง.29

บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ: สรุปผลการวิจัยให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และทำการ “อภิปรายผล” โดยเชื่อมโยงผลที่ค้นพบเข้ากับทฤษฎีและงานวิจัยในบทที่ 2 เพื่อแสดงให้เห็นว่านวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นสร้างองค์ความรู้ใหม่หรือยืนยัน/ขัดแย้งกับองค์ความรู้เดิมอย่างไร ส่วนข้อเสนอแนะจะต้องนำเสนอ “นวัตกรรม” ในฐานะ “ต้นแบบ” ที่สามารถนำไปขยายผลในบริบทอื่นได้

4.3 การตอบโจทย์คุณภาพและประโยชน์ตามเกณฑ์การประเมิน

การเขียนผลงานทางวิชาการต้องคำนึงถึงเกณฑ์การให้คะแนนทั้ง 2 ส่วนหลักอย่างเคร่งครัด

ส่วนที่ 1 คุณภาพของผลงานทางวิชาการ (50 คะแนน):

  • ความถูกต้องตามหลักวิชาการ (20 คะแนน): ต้องมั่นใจว่าระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้มีความเหมาะสม การอ้างอิงถูกต้องตามหลักสากล (เช่น APA 7th Edition) และการวิเคราะห์ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือ.29
  • ความคาดหวังในระดับการปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิทยฐานะ (15 คะแนน): เนื้อหาในผลงานต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงกระบวนการ “คิดค้น ปรับเปลี่ยนนวัตกรรมการนิเทศการศึกษา” และสรุปให้เห็นว่านวัตกรรมนั้นสามารถเป็น “แบบอย่างที่ดี” ได้อย่างไร.3
  • ความสมบูรณ์ของเนื้อหาสาระ (10 คะแนน): รายงานต้องมีความครบถ้วนสมบูรณ์ในทุกองค์ประกอบ มีการวิเคราะห์ที่ลุ่มลึกและทันสมัย.31
  • การจัดทำ การพิมพ์ รูปเล่ม และการเผยแพร่ (5 คะแนน): รูปเล่มต้องจัดทำอย่างประณีต ถูกต้องตามหลักการพิมพ์ และควรมีหลักฐานการเผยแพร่ผลงานในวงวิชาชีพประกอบด้วย
  • ส่วนที่ 2 ประโยชน์ของผลงานทางวิชาการ (50 คะแนน):

ประโยชน์ต่อผู้เรียน ครู บุคลากรทางการศึกษาฯ (25 คะแนน): ต้องอ้างอิงและขยายความผลลัพธ์ที่นำเสนอไปแล้วในด้านที่ 2 เพื่อแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม.29

ประโยชน์ต่อความก้าวหน้าในวงวิชาชีพ (25 คะแนน): ต้องชี้ให้เห็นว่าองค์ความรู้หรือนวัตกรรมที่ได้จากงานวิจัยนี้ มีศักยภาพในการสร้างการเปลี่ยนแปลงในวงวิชาการและวงวิชาชีพได้อย่างไร สามารถนำไปปรับใช้เพื่อยกระดับคุณภาพการนิเทศการศึกษาในภาพรวมได้หรือไม่.3

บทที่ 5: ข้อเสนอแนะหัวข้อวิจัยและนวัตกรรมสำหรับศึกษานิเทศก์ยุคใหม่

การวิเคราะห์แนวโน้มการศึกษาแห่งอนาคต

บทบาทของศึกษานิเทศก์ต้องปรับเปลี่ยนให้ทันต่อแนวโน้มการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ประเด็นท้าทายสำคัญในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ ประกอบด้วย การเปลี่ยนผ่านสู่หลักสูตรฐานสมรรถนะ, การบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างลึกซึ้งในการเรียนการสอน (เช่น วิทยาการคำนวณ, ปัญญาประดิษฐ์), การพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 (เช่น การคิดวิเคราะห์, การสร้างสรรค์, ความร่วมมือ) และการจัดการศึกษาที่ตอบสนองต่อความหลากหลายของผู้เรียน.32

ตัวอย่างหัวข้อวิจัย/นวัตกรรมระดับเชี่ยวชาญ

จากแนวโน้มดังกล่าว ศึกษานิเทศก์สามารถเลือกพัฒนาหัวข้องานวิจัยและนวัตกรรมที่ท้าทายและสอดคล้องกับบริบทปัจจุบันได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

หัวข้อที่ 1: การพัฒนารูปแบบการนิเทศแบบโค้ชผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ของครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา.32

หัวข้อที่ 2: การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการนิเทศโดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) และการศึกษาชั้นเรียน (Lesson Study) เพื่อยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนในสาระเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ).32

หัวข้อที่ 3: การพัฒนารูปแบบการนิเทศเพื่อเสริมสร้างความฉลาดรู้ทางดิจิทัล (Digital Literacy) และการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ของครูและผู้เรียนในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา.32

หัวข้อที่ 4: รูปแบบการนิเทศแบบบูรณาการเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อความต้องการจำเป็นพิเศษของผู้เรียนในโรงเรียนเรียนรวม (Inclusive Education).24

หัวข้อที่ 5: การศึกษาอนาคตภาพและข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับบทบาทของศึกษานิเทศก์ในการส่งเสริมการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Education for Sustainable Development: ESD) ในสถานศึกษา.37

การเลือกหัวข้อควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเชี่ยวชาญ ความสนใจ และที่สำคัญที่สุดคือต้องตอบโจทย์ปัญหาและความต้องการจำเป็นของพื้นที่ที่รับผิดชอบ เพื่อให้ผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นมานั้นเกิดประโยชน์สูงสุดและสะท้อนถึงภาวะผู้นำทางวิชาการของศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง


บรรณานุกรม

Correia, M. P., & McHenry, J. M. (2002). The new teacher mentoring handbook. California: Corwin Press. (อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี, 2556)

Dufour, R. (2004). What is a professional learning community? Educational Leadership, 61(8), 6-11.

Glickman, C. D., Gordon, S. P., & Ross-Gordon, J. M. (2007). Supervision and instructional leadership: A developmental approach (7th ed.). Pearson.

Harris, B. M. (1985). Supervisory behavior in education (3rd ed.). Prentice-Hall.

McGregor, D. (1960). The human side of enterprise. McGraw-Hill.

Mitchell, C., & Sackney, L. (2000). Profound improvement: Building capacity for a learning community. Swets & Zeitlinger.

Sergiovanni, T. J. (1994). Organizations or communities? Changing the metaphor changes the theory. Educational Administration Quarterly, 30(2), 214-226.

กิติมา ปรีดีดิลก. (2532). การนิเทศการศึกษา. ภาควิชาบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. 28

บุญเกื้อ ควรหาเวช. (2542). นวัตกรรมการศึกษา. หจก. SR Printing. 38

มนตรี แย้มกสิกร. (2559). Professional learning community: Challenges in self–development of teachers. ใน การประชุมวิชาการของคุรุสภา ประจำปี 2559 “วิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้และการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” (น. 39-46). สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา. 36

วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21. มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์. 6

สงัด อุทรานนท์. (2530). การนิเทศการศึกษา: หลักการ ทฤษฎี ปฏิบัติ. มิตรสยาม. 28

สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา. (2564). หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งศึกษานิเทศก์. (หนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.3/ว 11). 1

ผลงานที่อ้างอิง

  1. หนังสือ ก.ค.ศ. ว11/2564 หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งศึกษานิเทศก์, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.mkarea3.go.th/mk3/?p=36598
  2. ว11/2564 หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ – สพม เพชรบุรี, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://spmphet.go.th/ว11-2564-หลักเกณฑ์และวิธีการป/
  3. แนวทางการขอมีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะ ตำแหน่งศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ ว 11/2564 », เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://krukob.com/web/v11-2564/
  4. แนวทางการดำเนินการ (ว.PA) ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ – jt2554 – หน้าหนังสือ 13 – PubHTML5, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://pubhtml5.com/jibv/kjih/แนวทางการดำเนินการ%28ว.PA%29ตำแหน่งศึกษานิเทศก์/13
  5. การนิเทศการศึกษา (Educational Supervision ), เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://ea.grad.ssru.ac.th/useruploads/files/20200718/679ca73d17e40d7d887615a33bcd3eefbc8aa99e.pdf
  6. การพัฒนารูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนการสอน, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://www.reo9.obec.in.th/gis/eoffice/10000005tbl_orgdownload/20211027102947mr1gnTS..pdf
  7. “การนิเทศการศึกษา” หนึ่งตัวช่วยในการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://doi.nrct.go.th/admin/doc/doc_615839.pdf
  8. การนิเทศการจัดการเรียนรู้แบบ PRT-RED Model ภายใต้กระบวนการบริหารงานอย่างมีคุณภาพด้วยวงจรเดมมิ่ง (PDCA) โดยใช้แนวคิด – โรงเรียน ประชา รัฐ ธรรม คุณ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://prt.ac.th/_files_school/52100509/workteacher/52100509_1_20210408-064654.pdf
  9. mrslaongtip | แนวคิด ทฤษฎี การจัดการนวัตกรรมเพื่อการพัฒนา, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://mrslaongtip.wordpress.com/
  10. ศึกษานิเทศก์ ทำ ว11/2564 (PA) อย่างไร » – Digital Learning Classroom, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://krukob.com/web/sv-4/
  11. การนิเทศการศึกษา* – Educational Supervision – ThaiJO, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://so07.tci-thaijo.org/index.php/JMCR/article/download/1911/1301/9292
  12. แนวทางการเขียนแผนการนิเทศการศึกษา สำหรับศึกษานิเทศก์ » – Digital Learning Classroom, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://krukob.com/web/sv-5/
  13. รายงานผลการปฏิบัติงาน ตามขอตกลงในการพัฒนางาน (PA) – krukird, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://www.krukird.com/PAR66.pdf
  14. การเขียนข้อตกลงในการพัฒนางานและประเด็นท้าทาย ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ (PA : ว;11/2564), เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.youtube.com/watch?v=sH_AxpEm8WA
  15. แบบข้อตกลงในการพัฒนางาน (PA) ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะ …, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://amnatpao.go.th/upload/files/BBV76mtE7WZweyXCaTepvpJkbo2PhWpxBgBRZ3Km.pdf
  16. รูปแบบการนิเทศการศึกษาแบบผสมผสานเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู – มหาวิทยาลัยนเรศวร, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://nuir.lib.nu.ac.th/dspace/bitstream/123456789/5835/3/WishirataWorathadasawat.pdf
  17. วิเคราะห์องค์ประกอบของชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) – ThaiJO, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/Veridian-E-Journal/article/download/164352/119136/
  18. ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ – องค์ความรู้ – Google Sites, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://sites.google.com/rd.ac.th/plc-rd/องคความร
  19. การพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ – ตามแนวคิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ทาง …, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://www.curriculumandlearning.com/upload/Books/PLC_1544649171.pdf
  20. รูปแบบการนิเทศเพื่อเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้แบบActive Learning ของครู ผ่านกระบวนการLesson Study สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาหนองคาย เขต 2 – ThaiJo, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jomld/article/download/271449/181771
  21. ทำความรู้จักกับ Lesson Study – SciMath, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.scimath.org/article-mathematics/item/606-lesson-study
  22. การนิเทศการจัดการเรียนการรู้ด้วย Clinical Supervision – nara2english club, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://nara2engclub.blogspot.com/2014/12/clinical-supervision.html
  23. การพัฒนารูปแบบการนิเทศตามกลยุทธ์การนิเทศภายในที่ส่งผลต่อ การปฏิบัติงานสอนของครูสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 3, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.sakonnakhon3.go.th/2025/wp-content/uploads/2025/07/บทความวิจัยประกอบการยื่นขอวิทยฐานะศึกษา.pdf
  24. การนิเทศแบบคลินิกเพื่อพัฒนาสมรรถภาพในการจั – Silpakorn University, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://www.thapra.lib.su.ac.th/objects/thesis/fulltext/snamcn/Soottiporn_Vichitpan/Fulltext.pdf
  25. ใบความรู้ที่ 1.1 เรื่อง “เทคนิคการนิเทศแบบชี้แนะ(Coaching Techniques)”, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://pound1983.wordpress.com/wp-content/uploads/2012/06/utq-225.pdf
  26. การพัฒนารูปแบบการนิเทศเพื่อพัฒนาครูสู่การจัดการเรียนรู้เชิงรุก “PLEDGES Modell 1 – ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีวศึกษาภาคเหนือ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://km.nsdv.go.th/files/10000001_24072822225850.pdf
  27. การพัฒนารูปแบบการนิเทศเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ โดยใช้นวัตกรรมเป็นฐาน ของครูโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา – ThaiJO, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jam/article/download/270638/180768/1154201
  28. บทที่2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง – ผลงานวิชาการ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://research.otepc.go.th/files/7%20%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%202_6wbdlbk5.pdf
  29. เทคนิคการทําผลงานทางวิชาการสําหรับวิชาชีพครู, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.kruchiangrai.net/wp-content/uploads/2019/11/ดาวน์โหลดเอกสารเทคนิคการทำผลงานวิชาการสำหรับวิชาชีพครู.pdf
  30. TEPE- 55305 การสร้างผลงานวิชาการเพื่อการเลื่อนวิทยฐานะ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://www.esbuy.net/site/download-file.php?doc_id=5159
  31. การศึกษาข้อบกพร่องของผลงานทางวิชาการ ที่เสนอเพื่อขอเลื่อนเป็นวิทยฐานะผู้อ่านวยการเชี่ยวชาญ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://research.otepc.go.th/files/OTEPC00023_0kceg2ey.pdf
  32. อนาคตภาพการนิเทศการศึกษา สำหรับศึกษานิเทศก์ – มหาวิทยาลัยนเรศวร, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://nuir.lib.nu.ac.th/dspace/bitstream/123456789/5495/3/PattapornKamjan.pdf
  33. รูปแบบการนิเทศการสอนเพื่อส่งเสริมความสามาร, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://libdoc.dpu.ac.th/thesis/160991.pdf
  34. รูปแบบการนิเทศการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพนักเรียน – มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://gsmis.snru.ac.th/e-thesis/file_att1/20190515533JPe109_fulltext.pdf
  35. การพัฒนารูปแบบการโค้ชโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อส – ThaiJO, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jemri/article/download/257765/173446/977552
  36. ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) กับการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ ฐานสมรรถนะตามแนวทางของ สสวท. – thaijo.org, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/257998
  37. งานวิจัย – ผลงานวิชาการ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://research.otepc.go.th/v_research_list.php
  38. UTQ- 00225 นวัตกรรมการนิเทศการศึกษาชั้นเรียน – krukird, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://www.krukird.com/00225.pdf

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!