แนวทางการขอมีหรือเลื่อนวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญตามเกณฑ์ ว9/2564: กลยุทธ์สู่การเป็นผู้นำด้านการคิดค้นและปรับเปลี่ยนนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้

แนวทางการขอมีหรือเลื่อนวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญตามเกณฑ์ ว9/2564: กลยุทธ์สู่การเป็นผู้นำด้านการคิดค้นและปรับเปลี่ยนนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้

ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด
ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ สพม.นครราชสีมา
Musicmankob@gmail.com 12 กันยายน 2568

___________________________________________

บทนำ: การนำทางสู่กระบวนทัศน์ใหม่ของเกณฑ์ ว9/2564

หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู ตามหนังสือสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ที่ ศธ 0206.3/ว 9 ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 หรือที่รู้จักในนาม “เกณฑ์ ว9/2564” นับเป็นการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ครั้งสำคัญในการประเมินวิชาชีพครูของประเทศไทย.1 เกณฑ์ดังกล่าวได้เปลี่ยนผ่านจากการประเมินที่เน้นเอกสารเชิงปริมาณไปสู่ระบบการประเมินตามสภาพจริงที่อิงผลการปฏิบัติงาน (Performance-Based) โดยมีหัวใจสำคัญคือ “ข้อตกลงในการพัฒนางาน” (Performance Agreement: PA) ซึ่งมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนเป็นสำคัญที่สุด.3

ภายใต้กรอบแนวคิดนี้ วิทยฐานะ “ครูเชี่ยวชาญ” (ค.ศ. 4) ไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งที่สะท้อนถึงความอาวุโสในวิชาชีพอีกต่อไป แต่คือสถานะของ “ผู้นำทางวิชาการและนวัตกรด้านการจัดการเรียนรู้” (Pedagogical Leader and Innovator). ความคาดหวังต่อครูเชี่ยวชาญได้ยกระดับจากการเป็นผู้สอนที่มีประสิทธิภาพ (Proficient Teacher) ไปสู่การเป็นผู้สร้างสรรค์องค์ความรู้และแนวปฏิบัติใหม่ ๆ ให้กับวงการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสะท้อนผ่านข้อกำหนดที่ต้องมีผลงานทางวิชาการหรืองานวิจัยประกอบการประเมิน.1

สารัตถะสำคัญของรายงานฉบับนี้คือ การนำเสนอแนวทางเชิงกลยุทธ์ที่ชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จในการขอเลื่อนวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญตามเกณฑ์ ว9/2564 ขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้าง “เรื่องเล่าแห่งการพัฒนานวัตกรรม” (Narrative of Innovation) ที่มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ รายงานนี้จะชี้ให้เห็นว่าเรื่องเล่าดังกล่าวต้องถักทอหลักฐานจากทุกด้านของการประเมินเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น เริ่มตั้งแต่การระบุสภาพปัญหาในชั้นเรียน (สภาพปัญหา) ที่ชัดเจน 7, การพัฒนานวัตกรรมหรือแนวทางการสอนเพื่อแก้ปัญหานั้นอย่างเป็นระบบ (นวัตกรรม), การแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์เชิงบวกที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนอย่างเป็นรูปธรรม (ผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน) 1, และท้ายที่สุดคือการสังเคราะห์กระบวนการทั้งหมดนี้ให้เป็นผลงานทางวิชาการหรืองานวิจัยที่มีคุณค่า (ผลงานทางวิชาการ).6

ส่วนที่ 1: การถอดรหัสมาตรฐาน “ครูเชี่ยวชาญ”

บทที่ 1: กรอบการประเมิน 3 ด้านตามเกณฑ์ ว9/2564

เกณฑ์ ว9/2564 กำหนดโครงสร้างการประเมินที่ครอบคลุมการปฏิบัติงานของครูใน 3 มิติหลัก ซึ่งแต่ละมิติทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบของเรื่องเล่าแห่งการพัฒนานวัตกรรมที่สมบูรณ์.1

รายละเอียดองค์ประกอบการประเมิน 3 ด้าน

ด้านที่ 1: ด้านทักษะการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน
นี่คือมิติที่สะท้อนถึง “วิธีการ” (The How) ของการสอน โดยประเมินจากหลักฐาน 2 ส่วนหลัก ได้แก่

(1) แผนการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบไฟล์ PDF

(2) ไฟล์วีดิทัศน์จำนวน 2 ไฟล์ คือ วีดิทัศน์บันทึกการสอนตามแผนฯ และวีดิทัศน์ที่นำเสนอ “สภาพปัญหา ที่มา หรือแรงบันดาลใจ” ในการจัดการเรียนรู้นั้น.7 สำหรับการขอเลื่อนวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ ผู้ขอรับการประเมินต้องได้รับคะแนนจากกรรมการแต่ละคนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75.1

ด้านที่ 2: ด้านผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน

นี่คือมิติที่สะท้อนถึง “ผลลัพธ์” (The What) ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการจัดการเรียนรู้ที่นำเสนอในด้านที่ 1 หลักฐานที่ใช้ในการประเมินคือผลงานหรือผลการปฏิบัติของผู้เรียน ซึ่งสามารถนำเสนอได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์วีดิทัศน์ ไฟล์ภาพ หรือไฟล์ PDF จำนวนไม่เกิน 3 ไฟล์.1 เกณฑ์การผ่านสำหรับวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญคือต้องได้รับคะแนนจากกรรมการแต่ละคนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 เช่นเดียวกัน.1

ด้านที่ 3: ด้านผลงานทางวิชาการ

นี่คือมิติที่สะท้อนถึง “เหตุผล” และ “คุณค่า” (The Why and So What) ของกระบวนการทั้งหมด สำหรับวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ กำหนดให้ต้องมีผลงานทางวิชาการ 1 รายการ ซึ่งต้องเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ หรือนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่แสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังตามมาตรฐานวิทยฐานะ โดยนำเสนอในรูปแบบไฟล์ PDF.1 ผลงานด้านนี้ต้องผ่านเกณฑ์การประเมินไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 จากกรรมการแต่ละคน.6

หลักการสำคัญ: เรื่องเล่าที่เชื่อมโยงและสอดคล้องกัน (The Principle of Coherent Narrative)

องค์ประกอบการประเมินทั้ง 3 ด้านไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อพิจารณาอย่างแยกส่วน แต่ถูกสร้างขึ้นเพื่อประกอบกันเป็นเรื่องเล่าเชิงประจักษ์ที่มีความต่อเนื่องและสมเหตุสมผล การนำเสนอผลงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือการสร้างสายใยแห่งหลักฐานที่เชื่อมโยงกันอย่างไม่อาจแยกจากกันได้ การพิจารณาเอกสารและแนวทางการประเมินพบว่า ด้านที่ 2 (ผลลัพธ์ผู้เรียน) จะถูกประเมินจากผลที่เกิดขึ้นหลังจากการจัดการเรียนรู้ที่นำเสนอในด้านที่ 1 1 ขณะที่ด้านที่ 3 (ผลงานทางวิชาการ) สำหรับครูเชี่ยวชาญนั้น ต้องเป็นงานวิจัยหรือนวัตกรรมที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ 6 ยิ่งไปกว่านั้น กรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จมักแสดงให้เห็นถึงการนำนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นจากงานวิจัยมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนจริงในวีดิทัศน์ที่นำเสนอสำหรับด้านที่ 1 และ 2 9

ดังนั้น การสังเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้จึงนำไปสู่ข้อสรุปเชิงกลยุทธ์ที่ว่า การนำเสนอผลงานที่ทรงพลังที่สุดจะต้องสร้าง “วงจรแห่งหลักฐาน” (Cycle of Evidence) ที่สมบูรณ์ กล่าวคือ:

  • สภาพปัญหา ที่นำเสนอในวีดิทัศน์ของด้านที่ 1 คือจุดเริ่มต้นของ งานวิจัย ในด้านที่ 3
  • งานวิจัย ในด้านที่ 3 คือกระบวนการ พัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้
  • นวัตกรรม ที่ได้จากงานวิจัย คือสิ่งที่ถูกนำมา สาธิตการใช้งานจริง ในแผนการจัดการเรียนรู้และวีดิทัศน์การสอนของด้านที่ 1
  • การนำนวัตกรรมไปใช้ในด้านที่ 1 ก่อให้เกิด ผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน ที่เป็นรูปธรรม ซึ่งถูกนำเสนอเป็นหลักฐานในด้านที่ 2

การสร้างเรื่องเล่าที่เชื่อมโยงกันในลักษณะนี้ (ปัญหา -> วิจัย -> นวัตกรรม -> การนำไปใช้ -> ผลลัพธ์) จะทำให้คณะกรรมการเห็นภาพการทำงานของครูในฐานะ “นวัตกร” ที่ทำงานอย่างเป็นระบบและมีหลักการเชิงวิชาการรองรับ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการนำเสนอผลงานที่แต่ละด้านไม่เกี่ยวข้องกัน เช่น การสอนเรื่องหนึ่งในด้านที่ 1 แต่นำเสนอผลงานวิจัยอีกเรื่องหนึ่งในด้านที่ 3 ซึ่งจะทำให้เรื่องเล่าขาดความน่าเชื่อถือและไม่แสดงถึงภาวะผู้นำทางวิชาการที่คาดหวัง

บทที่ 2: นิยามระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง: “การคิดค้น ปรับเปลี่ยน และการเป็นแบบอย่างที่ดี”

เกณฑ์ ว9/2564 ได้กำหนดระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง (Level of Expected Practice) สำหรับแต่ละวิทยฐานะไว้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นมาตรวัดสำคัญที่ใช้ในการประเมินคุณภาพของการปฏิบัติงาน.10

การถอดรหัสระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง

  • ครูชำนาญการพิเศษ (ค.ศ. 3): ระดับการปฏิบัติที่คาดหวังคือ “การริเริ่มพัฒนา” 10 ซึ่งหมายถึงการนำแนวคิด ทฤษฎี หรือรูปแบบการสอนที่มีอยู่แล้วมาพัฒนาหรือประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของตนเอง
  • ครูเชี่ยวชาญ (ค.ศ. 4): ระดับการปฏิบัติที่คาดหวังคือ “การคิดค้น ปรับเปลี่ยน” 6 ซึ่งเป็นการยกระดับที่สำคัญ โดยเน้นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่และการพัฒนากระบวนการอย่างต่อเนื่อง
  • ครูเชี่ยวชาญพิเศษ (ค.ศ. 5): ระดับการปฏิบัติที่คาดหวังคือ “การสร้างการเปลี่ยนแปลง” 6 ซึ่งหมายถึงนวัตกรรมที่สร้างขึ้นนั้นต้องส่งผลกระทบในวงกว้าง ขยายผลไปสู่เพื่อนร่วมวิชาชีพและสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับที่ใหญ่กว่าห้องเรียนของตนเอง

การตีความมาตรฐานครูเชี่ยวชาญสู่การปฏิบัติ

“การคิดค้น” (Invention): ในบริบทของ ว9/2564 ไม่ได้หมายถึงการสร้างทฤษฎีการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาใหม่ แต่หมายถึงการระบุ “ปัญหา” ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในชั้นเรียนของตนเองอย่างเฉพาะเจาะจง (เช่น “ผู้เรียนไม่สามารถนำความรู้ไวยากรณ์ไปใช้ในการเขียนเรียงความได้จริง”) และออกแบบ “กระบวนการ เครื่องมือ หรือลำดับกิจกรรม” ที่ไม่เคยมีผู้ใช้ในบริบทนั้นมาก่อนเพื่อแก้ปัญหานั้น.4 ความเป็นนวัตกรรม (Novelty) อาจมาจากการผสมผสานกลยุทธ์ที่หลากหลายอย่างมีเอกลักษณ์ หรือการสร้างกรอบการทำงาน (Framework) ใหม่ที่ปรับให้เข้ากับผู้เรียนและบริบทของโรงเรียนโดยเฉพาะ

“การปรับเปลี่ยน” (Modification): นี่คือองค์ประกอบที่ต้องอาศัยหลักฐานเชิงประจักษ์และเป็นหัวใจของการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action Research) คำว่า “ปรับเปลี่ยน” หมายถึงกระบวนการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเป็นวงจร (Iterative Process) กล่าวคือ ครูต้องแสดงให้เห็นถึงวงจรการทำงานดังนี้:

นำนวัตกรรมไปใช้ -> รวบรวมข้อมูล (ผลงานนักเรียน, การสังเกต, แบบประเมิน) -> วิเคราะห์ข้อมูล -> ปรับปรุงนวัตกรรมโดยอิงจากผลการวิเคราะห์ กระบวนการนี้ต้องถูกบันทึกไว้อย่างเป็นระบบ และ “บันทึกหลังการสอน” คือเครื่องมือและหลักฐานชิ้นสำคัญที่สุดที่จะแสดงให้เห็นถึงกระบวนการนี้.11

“การเป็นแบบอย่างที่ดี” (Being a Good Model): ความหมายของคำนี้ไปไกลกว่าการเป็นครูผู้สอนที่ดี แต่หมายถึงความสามารถในการ “สังเคราะห์และเผยแพร่” (Articulate and Disseminate) นวัตกรรมที่ตนเองคิดค้นขึ้น.12 ครูที่เป็นแบบอย่างที่ดีสามารถอธิบายรากฐานทางทฤษฎีของนวัตกรรม กระบวนการพัฒนาและปรับเปลี่ยนอย่างเป็นระบบ และผลกระทบที่วัดผลได้ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้เรียน การทำเช่นนี้ทำให้นวัตกรรมของครูเป็นสิ่งที่เพื่อนครูคนอื่น ๆ สามารถ “เข้าใจ นำไปปรับใช้ และทำซ้ำได้” (Understandable, Adaptable, and Replicable) ซึ่งถือเป็นการสร้างคุณูปการให้กับวงวิชาชีพ

ตารางที่ 1: การวิเคราะห์เปรียบเทียบระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง (ว9/2564)

วิทยฐานะคำสำคัญ (Key Verbs)กระบวนการที่คาดหวัง (Implied Process)ตัวอย่างหลักฐาน (Example Evidence)
ครูชำนาญการพิเศษริเริ่มพัฒนาการนำแนวคิด/รูปแบบที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้และพัฒนาให้เหมาะสมกับบริบทของตนเองรายงานการใช้ชุดกิจกรรมที่พัฒนาขึ้นโดยอิงตามแนวคิดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) เพื่อสอนในหน่วยการเรียนรู้เฉพาะ
ครูเชี่ยวชาญคิดค้น ปรับเปลี่ยนการสร้างสรรค์กระบวนการ/เครื่องมือใหม่เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะ และพัฒนากระบวนการนั้นอย่างต่อเนื่องโดยใช้ข้อมูลป้อนกลับจากผู้เรียนเป็นฐานงานวิจัยในชั้นเรียนที่นำเสนอการพัฒนารูบิค (Rubric) รูปแบบใหม่ที่ใช้เกมเป็นฐาน (Gamified Rubric) สำหรับการประเมินงานเขียนของเพื่อน และแสดงหลักฐานการปรับปรุงรูบิคนั้น 3 ครั้งตามผลการทดลองใช้
ครูเชี่ยวชาญพิเศษสร้างการเปลี่ยนแปลงการนำนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นไปขยายผลจนเกิดการยอมรับและนำไปใช้ในวงกว้าง (เช่น ในระดับสายชั้น โรงเรียน หรือเครือข่าย) และสร้างผลกระทบที่ยั่งยืนผลงานวิชาการที่ได้รับการตีพิมพ์ และหลักฐานการเป็นวิทยากรเผยแพร่นวัตกรรมการสอนของตนเองให้กับครูในโรงเรียนอื่น ๆ พร้อมทั้งผลการติดตามการนำนวัตกรรมไปใช้ของครูเหล่านั้น

ส่วนที่ 2: การออกแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อการเข้าถึง ความเข้าใจ และการสร้างนวัตกรรม

บทที่ 3: รากฐานสำคัญ: การสร้างหลักประกันว่าผู้เรียนเข้าถึงและเข้าใจบทเรียน (ตัวชี้วัดที่ 1)

หัวใจของการประเมินด้านที่ 1 คือตัวชี้วัดที่ 1: “ผู้เรียนสามารถเข้าถึงสิ่งที่เรียนและเข้าใจบทเรียน”.11 ตัวชี้วัดนี้เปรียบเสมือนรากฐานที่นวัตกรรมทั้งปวงต้องถูกสร้างขึ้นบนนั้น นวัตกรรมที่ซับซ้อนและน่าสนใจแต่สามารถเข้าถึงได้เฉพาะผู้เรียนกลุ่มเล็ก ๆ ย่อมถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์พื้นฐานที่สำคัญที่สุดนี้ การสร้างนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จจึงต้องเริ่มต้นจากการออกแบบการสอนที่ทุกคนเข้าถึงได้

องค์ประกอบหลักของตัวชี้วัดที่ 1

จากการสังเคราะห์คู่มือการประเมิน พบว่าตัวชี้วัดนี้ประกอบด้วยองค์ประกอบย่อยที่สำคัญ 4 ประการ 11:

  1. เนื้อหาถูกต้องตามหลักสูตร (Accurate Content): สาระการเรียนรู้ต้องมีความถูกต้องตามหลักวิชาการและสอดคล้องกับมาตรฐานและตัวชี้วัดของหลักสูตร
  2. ออกแบบและจัดโครงสร้างบทเรียนเป็นระบบ (Systematic Lesson Design): ลำดับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต้องมีเหตุผล ต่อเนื่อง และมีการบริหารจัดการเวลาที่เหมาะสม
  3. ใช้สื่อประกอบบทเรียนได้เหมาะสม (Appropriate Media): สื่อที่เลือกใช้ต้องสอดคล้องกับเนื้อหา วัยของผู้เรียน และช่วยส่งเสริมให้การเรียนรู้บรรลุวัตถุประสงค์
  4. บันทึกหลังการสอน (Post-Teaching Reflection): ต้องมีการบันทึกผลเพื่อสะท้อนการเรียนรู้ของผู้เรียน ปัญหาอุปสรรค และแนวทางการปรับปรุง ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสดงให้เห็นถึง “การปรับเปลี่ยน”

กลยุทธ์การออกแบบเพื่อการเข้าถึงอย่างทั่วถึง (Universal Access)

ก่อนที่จะนำเสนอนวัตกรรมหลัก ครูผู้สอนควรวางรากฐานการจัดการเรียนรู้ด้วยหลักการออกแบบที่เป็นสากลเพื่อการเรียนรู้ (Universal Design for Learning: UDL) และการสอนแบบแตกต่าง (Differentiated Instruction) เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เรียนทุกคนในชั้นเรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาพื้นฐานได้ หลักการของ UDL ประกอบด้วยการนำเสนอสาระการเรียนรู้ผ่านช่องทางที่หลากหลาย (Multiple Means of Representation) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงออกถึงสิ่งที่เรียนรู้ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน (Multiple Means of Action and Expression) และใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นความสนใจและสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ (Multiple Means of Engagement) การวางรากฐานด้วยแนวคิดเหล่านี้จะทำให้นวัตกรรมที่นำเสนอในลำดับถัดไปสามารถส่งผลกระทบต่อผู้เรียนในวงกว้างได้จริง

บทที่ 4: กรอบการทำงานเชิงระบบเพื่อการคิดค้นนวัตกรรม: การคิดเชิงออกแบบในชั้นเรียน (Design Thinking in the Classroom)

เพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังในระดับ “การคิดค้นและปรับเปลี่ยน” การมีกระบวนการทำงานที่เป็นระบบและชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง “การคิดเชิงออกแบบ” (Design Thinking) คือกรอบการทำงาน (Framework) ที่ทรงพลัง ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นโครงสร้างหลักในการพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ได้อย่างเป็นขั้นตอนและมีประสิทธิภาพ กระบวนการนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ แต่ยังเน้นการทำงานที่อิงกับข้อมูลและความเข้าใจผู้เรียนอย่างลึกซึ้ง ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงได้.14

5 ขั้นตอนของการคิดเชิงออกแบบ (ปรับเพื่อครูผู้สอน)

กระบวนการคิดเชิงออกแบบประกอบด้วย 5 ขั้นตอนที่ทำงานเชื่อมโยงกันเป็นวงจร 14:

  1. ทำความเข้าใจ (Empathize): ขั้นตอนนี้คือการทำความเข้าใจผู้เรียนอย่างลึกซึ้งถึงความต้องการ ปัญหา อุปสรรค และบริบทในการเรียนรู้ของพวกเขา ซึ่งสอดคล้องโดยตรงกับการระบุ “สภาพปัญหา” ที่ต้องนำเสนอในวีดิทัศน์เริ่มต้นของด้านที่ 1.7 เครื่องมือที่ใช้ในขั้นตอนนี้อาจเป็นการสัมภาษณ์นักเรียน การสังเกตพฤติกรรมในชั้นเรียน หรือการวิเคราะห์ผลงานที่ผ่านมา
  2. กำหนดปัญหา (Define): นำข้อมูลที่ได้จากขั้นตอนแรกมาวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อระบุ “แก่นของปัญหา” ที่ต้องการแก้ไขให้ชัดเจน ขั้นตอนนี้คือการกำหนด “ประเด็นท้าทาย” (Challenging Issue) ในเอกสาร PA นั่นเอง การตั้งโจทย์ปัญหาที่ดีควรมีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เช่น “เราจะช่วยให้นักเรียนชั้น ม.2 ที่ไม่ชอบประวัติศาสตร์ สามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์ในอดีตเข้ากับชีวิตปัจจุบันของตนเองได้อย่างไร?”
  3. ระดมสมอง (Ideate): เป็นขั้นตอนของการระดมความคิดเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่หลากหลายและสร้างสรรค์ที่สุด นี่คือจุดเริ่มต้นของ “การคิดค้น” นวัตกรรม โดยในขั้นตอนนี้จะยังไม่มีการตัดสินว่าความคิดใดดีหรือไม่ดี แต่เน้นปริมาณและความแปลกใหม่ของแนวคิด
  4. สร้างต้นแบบ (Prototype): เลือกแนวคิดที่ดีที่สุดจากขั้นตอนที่แล้วมาสร้างเป็น “ต้นแบบ” ที่จับต้องได้และนำไปทดลองใช้ได้จริง ต้นแบบนี้ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่อาจเป็นเพียงแบบร่างกิจกรรมใหม่, บอร์ดเกมการศึกษา, ชุดคำสั่งสำหรับกิจกรรมออนไลน์ หรือโครงสร้างของใบงานรูปแบบใหม่ นี่คือนวัตกรรมในรูปแบบแรกเริ่ม
  5. ทดสอบ (Test): นำต้นแบบไปทดลองใช้กับผู้เรียนกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อสังเกตการณ์และรวบรวมข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) ว่าสิ่งใดใช้ได้ผล สิ่งใดควรปรับปรุง ขั้นตอนนี้คือจุดเริ่มต้นของวงจร “การปรับเปลี่ยน” ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดสอบจะถูกนำกลับไปใช้ในการปรับปรุงต้นแบบในรอบถัดไป

การคิดเชิงออกแบบในฐานะแกนกลางของเรื่องเล่า (Design Thinking as the Narrative Spine)

การนำกระบวนการคิดเชิงออกแบบมาใช้ ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างนวัตกรรม แต่ยังมอบโครงสร้างที่สมบูรณ์แบบสำหรับ “เรื่องเล่า” ที่ต้องนำเสนอในการประเมิน ว9/2564 อีกด้วย

  • ขั้นตอน Empathize และ Define จะสร้างเนื้อหาและเหตุผลสนับสนุนสำหรับวีดิทัศน์ “สภาพปัญหา”.7
  • ขั้นตอน Ideate และ Prototype คือกระบวนการ “การคิดค้น” นวัตกรรมตามมาตรฐานวิทยฐานะ.10
  • ขั้นตอน Test ที่ทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง คือวงจรของ “การปรับเปลี่ยน” ที่สามารถบันทึกและแสดงให้เห็นเป็นหลักฐานได้.10
  • การบันทึกและสังเคราะห์กระบวนการทั้ง 5 ขั้นตอนนี้อย่างเป็นระบบ คือโครงสร้างหลักของ รายงานการวิจัย ในด้านที่ 3.6

ด้วยเหตุนี้ การใช้กรอบการทำงานของการคิดเชิงออกแบบจึงเปรียบเสมือนการวางโครงเรื่องที่แข็งแรงให้กับผลงานทั้งหมด ทำให้ครูสามารถสร้างและนำเสนอหลักฐานต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ มีความเชื่อมโยง และสะท้อนภาพของนวัตกรที่แก้ปัญหาอย่างมืออาชีพ ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเกณฑ์ ว9/2564 อย่างสมบูรณ์

บทที่ 5: รูปแบบการสอนขั้นสูงในฐานะเครื่องมือสร้างนวัตกรรม

การนำรูปแบบการสอนขั้นสูง (Advanced Pedagogical Models) เช่น การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning: PBL) หรือการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning: PjBL) มาใช้ในชั้นเรียน เป็นกลยุทธ์ที่ดีในการส่งเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 อย่างไรก็ตาม สำหรับการประเมินในระดับครูเชี่ยวชาญ การ “ใช้” รูปแบบการสอนเหล่านี้เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึง “การคิดค้น” นวัตกรรมที่แท้จริงอยู่ที่การที่ครูสามารถ “ดัดแปลง (Adapt), ผสมผสาน (Combine), หรือสร้างเครื่องมือสนับสนุน (Scaffold)” รูปแบบการสอนเหล่านี้ให้เกิดเป็นกระบวนการใหม่ที่มีเอกลักษณ์และตอบโจทย์บริบทของตนเองได้อย่างดีเยี่ยม

การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning: PBL)

หลักการสำคัญ: การเรียนรู้เริ่มต้นจาก “ปัญหา” ที่มีความซับซ้อนและใกล้เคียงกับสถานการณ์จริง ผู้เรียนต้องสืบค้นข้อมูลและทำงานร่วมกันเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา โดยเน้นพัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์และการเรียนรู้ด้วยตนเอง.17

โอกาสในการสร้างนวัตกรรม:

  • การคิดค้นสถานการณ์ปัญหา: สร้างสถานการณ์ปัญหาที่อิงจากประเด็นในชุมชนท้องถิ่น (Local Context) ซึ่งไม่มีอยู่ในตำราเรียนทั่วไป
  • การคิดค้นเครื่องมือสนับสนุน: ออกแบบเครื่องมือดิจิทัลหรือแบบฟอร์มเฉพาะเพื่อช่วยให้ผู้เรียนจัดระบบข้อมูล, วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา, หรือประเมินทางเลือกในการแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ
  • การคิดค้นระบบการประเมิน: สร้างระบบการประเมินผลที่ผสมผสานการให้คะแนนทักษะกระบวนการ (เช่น การทำงานกลุ่ม, การสืบค้น) เข้ากับการประเมินความเข้าใจในเนื้อหา

การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning: PjBL)

หลักการสำคัญ: การเรียนรู้ถูกจัดระบบรอบ “โครงงาน” ที่มุ่งสร้างผลผลิต (Product) หรือการนำเสนอต่อสาธารณะ (Public Presentation) เป็นเป้าหมายสุดท้าย เน้นการประยุกต์ใช้ความรู้, การทำงานร่วมกัน, และให้อิสระแก่ผู้เรียนในการเลือกวิธีการทำงาน.20

โอกาสในการสร้างนวัตกรรม:

  • การคิดค้นรูปแบบโครงงาน: ออกแบบโครงงานที่บูรณาการข้ามกลุ่มสาระการเรียนรู้ (Cross-Curricular PjBL) เช่น ให้นักเรียนสร้างสารคดีสั้นเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น ซึ่งต้องใช้ทักษะทั้งด้านวิทยาศาสตร์ (ข้อมูล), ภาษาไทย (บทสารคดี), และศิลปะ/เทคโนโลยี (การถ่ายทำและตัดต่อ)
  • การคิดค้นระบบบริหารจัดการโครงงาน: สร้างแพลตฟอร์มหรือคู่มือการบริหารจัดการโครงงานสำหรับนักเรียนที่จำลองมาจากการทำงานจริงในโลกอาชีพ (Professional Project Management)
  • การคิดค้นรูปแบบการนำเสนอ: ออกแบบเวทีการนำเสนอผลงานที่ไม่ใช่แค่การรายงานหน้าชั้นเรียน แต่อาจเป็นการจัดแสดงนิทรรศการที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม (Interactive Exhibition) หรือการนำเสนอผลงานต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชนจริง ๆ

ตารางที่ 2: กรอบแนวคิดการสร้างนวัตกรรมจากรูปแบบการสอนขั้นสูง

รูปแบบการสอนการใช้รูปแบบมาตรฐานจุดสำหรับการคิดค้น (Area for Invention)ตัวอย่าง “การคิดค้น”
PBLครูนำเสนอปัญหาที่มีอยู่แล้วให้นักเรียนแก้ไขการออกแบบสถานการณ์ปัญหาและเครื่องมือสนับสนุนการสร้างชุด “สถานการณ์จำลองวิกฤตพลังงานในชุมชน” พร้อมด้วย “ชุดเครื่องมือวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม” สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
PjBLนักเรียนทำโครงงานตามหัวข้อที่ครูกำหนดในรายวิชาเดียวการบูรณาการข้ามศาสตร์และการเชื่อมโยงกับโลกภายนอกการพัฒนารูปแบบ “PjBL เพื่อสร้างนวัตกรรมทางสังคม” (Social Innovation PjBL) โดยนักเรียนทำงานร่วมกับองค์กรในท้องถิ่นเพื่อออกแบบและนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาจริงในชุมชน

ส่วนที่ 3: กลยุทธ์และตัวอย่างการปฏิบัติจริงตามระดับการศึกษา

ส่วนนี้คือหัวใจเชิงปฏิบัติของรายงาน โดยจะนำเสนอกรณีศึกษา (Case Study) ที่สมบูรณ์สำหรับแต่ละระดับการศึกษา เพื่อแสดงให้เห็นกระบวนการพัฒนานวัตกรรมตั้งแต่ต้นจนจบ

บทที่ 6: นวัตกรรมในการจัดการศึกษาปฐมวัย

ความท้าทายในบริบท: การแสดงให้เห็นถึงการเรียนรู้และพัฒนาการทางสติปัญญาที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบและมีหลักฐานชัดเจน ภายใต้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นการเล่น (Play-Based Learning)

กรณีศึกษา: “โครงงานนักชาติพันธุ์วรรณนาน้อย (The Young Ethnographers Project)”

ปัญหา (Empathize/Define): เด็ก ๆ แสดงความสนใจในอาชีพของผู้ปกครองและผู้คนในชุมชน แต่การเรียนรู้ในหน่วย “ชุมชนของเรา” แบบดั้งเดิมมักเป็นไปอย่างผิวเผินและขาดการลงมือปฏิบัติจริง

นวัตกรรม (Ideate/Prototype): การคิดค้นกรอบการทำโครงงานที่ให้เด็ก ๆ สวมบทบาทเป็น “นักชาติพันธุ์วรรณนา” (Ethnographer) หรือนักวิจัยชุมชนตัวน้อย นวัตกรรมหลักคือ “ชุดเครื่องมือนักวิจัยน้อย” ที่เด็ก ๆ ร่วมกันออกแบบขึ้นเอง เช่น “สคริปต์สัมภาษณ์ด้วยรูปภาพ” หรือ “แบบบันทึกการสังเกตการณ์” เพื่อใช้ในการลงพื้นที่สำรวจสถานที่จริงในชุมชน (เช่น ห้องครัวของโรงเรียน, ร้านค้าใกล้โรงเรียน) กรอบการทำงานนี้เปลี่ยนบทบาทของเด็กจากผู้รับความรู้เป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง

การนำไปใช้และการปรับเปลี่ยน (Implementation & Modification): ครูบันทึกการทำงานของเด็ก ๆ และใช้คำถามของพวกเขาเป็นตัวนำในการขยายขอบเขตของโครงงาน (Emergent Curriculum) เช่น เมื่อครูทดลองใช้ “สคริปต์สัมภาษณ์ด้วยรูปภาพ” แล้วพบว่าเด็ก ๆ ให้ความสนใจกับการ “วาดภาพ” สิ่งที่เห็นมากกว่าการใช้รูปภาพสำเร็จรูป ครูจึง “ปรับเปลี่ยน” กิจกรรมในครั้งต่อไปให้เน้นการวาดภาพบันทึกข้อมูล ซึ่งเป็นการปรับวิธีการให้สอดคล้องกับพัฒนาการและความสนใจของเด็กอย่างแท้จริง

ตัวอย่างเอกสารประกอบ:

  • แผนการจัดการเรียนรู้: นำเสนอแผนการจัดประสบการณ์ในสัปดาห์แรกของโครงงาน ซึ่งเน้นการตั้งคำถามและกำหนดเป้าหมายการสำรวจร่วมกับเด็ก ๆ โดยมีลักษณะยืดหยุ่นสูง
  • บันทึกหลังการสอน: บันทึกการสังเกตพฤติกรรมการใช้เครื่องมือของเด็ก ๆ และอธิบายเหตุผลเชิงพัฒนาการในการปรับเปลี่ยนกิจกรรมจากการใช้รูปภาพสำเร็จรูปไปสู่การวาดภาพด้วยตนเอง
  • การวัดและประเมินผลตามสภาพจริง: ตัวอย่างรูบิคการประเมินพัฒนาการโดยใช้ภาพถ่ายและบันทึกอนุทินของครูเป็นหลักฐาน (สำหรับด้านที่ 2) เพื่อประเมินทักษะ เช่น “ความสามารถในการตั้งคำถาม” “การรวบรวมข้อมูลผ่านการสังเกต” และ “การแบ่งปันสิ่งที่ค้นพบให้เพื่อนฟัง”

บทที่ 7: นวัตกรรมในการจัดการศึกษาประถมศึกษา

ความท้าทายในบริบท: การบูรณาการสาระการเรียนรู้ข้ามกลุ่มสาระอย่างมีความหมาย เพื่อพัฒนาทั้งองค์ความรู้และทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21

กรณีศึกษา: “โครงงานตรวจสอบขยะอาหารกลางวัน (The School Lunch Waste Audit)”

ปัญหา (Empathize/Define): นักเรียนทิ้งเศษอาหารกลางวันเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน และขาดความตระหนักถึงที่มาของอาหารและผลกระทบของขยะอาหารต่อสิ่งแวดล้อม

นวัตกรรม (Ideate/Prototype): การคิดค้นรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานระหว่าง PBL และ PjBL ที่ใช้ “ปัญหาขยะอาหารในโรงเรียน” เป็นแกนกลางในการบูรณาการหลักสูตร โดยนักเรียนจะใช้ทักษะคณิตศาสตร์ในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลขยะ, ใช้วิทยาศาสตร์ในการศึกษาเรื่องโภชนาการและการย่อยสลาย, และใช้ภาษาไทยและศิลปะในการสร้างสรรค์แคมเปญรณรงค์ลดขยะอาหาร นวัตกรรมหลักคือ “กระบวนการเรียนรู้เชิงบูรณาการ” ที่ใช้ปัญหาจริงในโรงเรียนเป็นศูนย์กลาง

การนำไปใช้และการปรับเปลี่ยน (Implementation & Modification): ในขั้นต้น ครูวางแผนให้นักเรียนนำเสนอข้อมูลด้วยแผนภูมิแท่ง แต่หลังจากการทดลอง (Test) พบว่านักเรียนให้ความสนใจและเข้าใจได้ดีกว่าเมื่อได้สร้าง “กราฟจำลองจากขยะจริง” โดยใช้กล่องสีแทนปริมาณขยะประเภทต่าง ๆ ครูจึง “ปรับเปลี่ยน” วิธีการนำเสนอข้อมูลให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งการปรับเปลี่ยนนี้ถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจน

ตัวอย่างเอกสารประกอบ:

  • แผนการจัดการเรียนรู้: แผนการสอนในหัวข้อ “การเก็บรวบรวมและจำแนกข้อมูลขยะอาหาร” ซึ่งแสดงการเชื่อมโยงกับมาตรฐานการเรียนรู้ของกลุ่มสาระคณิตศาสตร์อย่างชัดเจน
  • บันทึกหลังการสอน: บันทึกที่อธิบายการปรับเปลี่ยนกิจกรรมจากแผนภูมิแท่งไปสู่กราฟจำลองจากขยะจริง พร้อมให้เหตุผลสนับสนุนในเชิงจิตวิทยาการเรียนรู้ (เช่น เหมาะสมกับผู้เรียนที่เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ หรือ Kinesthetic Learners)
  • การวัดและประเมินผลตามสภาพจริง: ตัวอย่างรูบิคการประเมินโครงงานกลุ่ม (สำหรับด้านที่ 2) ซึ่งประเมินทั้งความถูกต้องของข้อมูล (คณิตศาสตร์), ความสมเหตุสมผลของคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ (วิทยาศาสตร์), และประสิทธิภาพในการสื่อสารเพื่อการรณรงค์ (ภาษาไทย)

บทที่ 8: นวัตกรรมในการจัดการศึกษามัธยมศึกษา

ความท้าทายในบริบท: การส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน เพื่อเปลี่ยนบทบาทผู้เรียนจาก “ผู้บริโภคข้อมูล” ไปสู่ “ผู้ผลิตองค์ความรู้”

กรณีศึกษา: “PBL ตรวจสอบข่าวลวง: ทักษะการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล (Debunking Disinformation: A Digital Literacy PBL)”

ปัญหา (Empathize/Define): นักเรียนในยุคดิจิทัลต้องเผชิญกับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือข่าวลวง (Fake News) จำนวนมหาศาล แต่ยังขาดทักษะในการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลและแยกแยะกลวิธีการโน้มน้าวใจ

นวัตกรรม (Ideate/Prototype): การคิดค้นรูปแบบ PBL ที่ให้นักเรียนสวมบทบาทเป็น “นักข่าวสืบสวนสอบสวน” โดยนวัตกรรมหลักคือ “ชุดเครื่องมือสืบสวนดิจิทัล (Digital Forensics Toolkit)” ซึ่งเป็นกรอบการทำงานที่ครูสร้างขึ้นเพื่อนำนักเรียนผ่านกระบวนการตรวจสอบข้อมูลอย่างเป็นขั้นตอน ประกอบด้วยกลยุทธ์การตรวจสอบแหล่งที่มา, การจับอคติ, และการระบุเหตุผลวิบัติ (Logical Fallacy) นักเรียนจะทำงานเป็นทีมเพื่อวิเคราะห์กรณีศึกษาของข่าวลวงที่เคยแพร่ระบาดจริง

การนำไปใช้และการปรับเปลี่ยน (Implementation & Modification): “ชุดเครื่องมือ” ในรุ่นแรกเป็นเพียงรายการตรวจสอบ (Checklist) แบบง่าย ๆ แต่หลังจากทดลองใช้ ครูได้รับข้อมูลป้อนกลับจากนักเรียนว่าพวกเขาต้องการแนวทางที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับ “ลำดับขั้นตอน” ในการสืบสวน ครูจึง “ปรับเปลี่ยน” ชุดเครื่องมือให้กลายเป็น “แผนผังกระบวนการ” (Flowchart) ที่มีความซับซ้อนและชี้นำขั้นตอนได้ดีกว่าเดิม การปรับเปลี่ยนนี้ถูกบันทึกไว้ในบันทึกหลังการสอน

ตัวอย่างเอกสารประกอบ:

  • แผนการจัดการเรียนรู้: แผนการสอนสำหรับคาบเรียนที่เน้นเรื่อง “การระบุเหตุผลวิบัติในสื่อ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงงานใหญ่
  • บันทึกหลังการสอน: บันทึกที่อธิบายรายละเอียดการปรับปรุง “ชุดเครื่องมือสืบสวนดิจิทัล” จากรูปแบบ Checklist ไปเป็น Flowchart โดยเชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงนี้เข้ากับผลการวิเคราะห์งานของนักเรียนที่ดีขึ้น
  • การวัดและประเมินผลตามสภาพจริง: “รายงานผลการสืบสวน” ของแต่ละทีม ซึ่งเป็นหลักฐานสำหรับด้านที่ 2 โดยใช้รูบิคในการประเมินความลุ่มลึกของการวิเคราะห์และความน่าเชื่อถือของหลักฐานที่นำมาใช้สนับสนุนข้อสรุป

ส่วนที่ 4: การจัดทำหลักฐานและสังเคราะห์องค์ความรู้สู่ความเป็นเลิศ

บทที่ 9: การรังสรรค์แฟ้มผลงานเชิงประจักษ์: เรื่องเล่าแห่งการปฏิบัติ

การนำเสนอผลงานในด้านที่ 1 และ 2 ไม่ใช่เพียงการส่งเอกสารและไฟล์วีดิทัศน์ แต่คือการสร้างสรรค์เรื่องเล่าที่ทรงพลังผ่านหลักฐานเชิงประจักษ์

การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อการประเมิน

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ส่งประเมินต้องเป็นมากกว่า “บท” ที่ใช้สอน แต่ต้องเป็น “เอกสารที่นำเสนอนวัตกรรม” อย่างชัดเจน ในแผนฯ ควรมีการระบุอย่างโจ่งแจ้งว่าส่วนใดคือนวัตกรรมที่ครูคิดค้นขึ้น และกิจกรรมแต่ละขั้นตอนถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อตัวชี้วัดทั้ง 8 ประการของการประเมินด้านที่ 1 อย่างไร.11 ควรมีการอธิบายแนวคิดเบื้องหลังของกิจกรรม และชี้ให้เห็นว่ากิจกรรมนั้นจะนำไปสู่ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวังได้อย่างไร

พลังของบันทึกหลังการสอน (บันทึกหลังแผน)

บันทึกหลังการสอนคือพื้นที่ที่สำคัญที่สุดในการแสดงหลักฐานของ “การปรับเปลี่ยน” บันทึกที่มีประสิทธิภาพต้องไปไกลกว่าการสรุปว่า “การสอนเป็นไปด้วยดี” แต่ต้องมีลักษณะเป็น “การวิเคราะห์เชิงไตร่ตรอง” (Analytical Reflection) โดยต้องอ้างอิงข้อมูลที่เป็นรูปธรรม เช่น คำพูดของนักเรียน, ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในใบงาน, หรือพฤติกรรมการมีส่วนร่วมที่สังเกตได้ และที่สำคัญที่สุดคือต้องระบุอย่างชัดเจนว่า “ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในการปรับปรุงการสอนหรือนวัตกรรมในครั้งต่อไปอย่างไร” การทำเช่นนี้จะแสดงให้เห็นถึงการทำงานที่เป็นวงจรและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

การออกแบบการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง

การประเมินผลคือสะพานที่เชื่อมระหว่างด้านที่ 1 (การสอน) และด้านที่ 2 (ผลลัพธ์) เครื่องมือประเมินที่ออกแบบมาอย่างดี เช่น รูบิค, แบบประเมินชิ้นงาน, หรือเกณฑ์การให้คะแนนการนำเสนอ จะต้องสามารถวัดทักษะหรือความรู้ที่นวัตกรรมการสอนนั้นมุ่งพัฒนาโดยตรง การแสดงให้เห็นว่า “เครื่องมือประเมิน” ถูกออกแบบมาอย่างมีหลักการเพื่อจับผลลัพธ์ที่เกิดจาก “วิธีการสอน” ที่เป็นนวัตกรรม จะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือของเรื่องเล่าทั้งหมดได้อย่างมหาศาล

บทที่ 10: รายงานการวิจัย (ด้านที่ 3): การสังเคราะห์นวัตกรรมในชั้นเรียนสู่ผลงานวิชาการ

รายงานการวิจัยในด้านที่ 3 ไม่ใช่ภาระงานที่แยกต่างหาก แต่เป็นบทสรุปเชิงวิชาการของเรื่องเล่าทั้งหมดที่นำเสนอในด้านที่ 1 และ 2 เป็นการเปลี่ยนสถานะจาก “ครูผู้ปฏิบัติ” เป็น “ครูนักวิจัย” (Teacher-Researcher) ที่สามารถสร้างและเผยแพร่องค์ความรู้ได้

โครงสร้างของรายงานการวิจัยในชั้นเรียน

รายงานควรมีโครงสร้างตามมาตรฐานของงานวิจัยเชิงวิชาการ แต่ปรับเนื้อหาให้มุ่งเน้นการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน 24:

บทที่ 1 บทนำ: นำเสนอ “สภาพปัญหา” ที่มาและความสำคัญ, คำถามการวิจัย, และวัตถุประสงค์ ซึ่งควรสะท้อนเนื้อหาจากขั้นตอน Empathize และ Define ของกระบวนการคิดเชิงออกแบบ

บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง: สร้างรากฐานทางทฤษฎีให้กับนวัตกรรม โดยทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวกับรูปแบบการสอนที่นำมาใช้ (เช่น PBL, PjBL) และทฤษฎีการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อแสดงให้เห็นว่านวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นตั้งอยู่บนหลักการทางวิชาการที่น่าเชื่อถือ

บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย: อธิบาย “นวัตกรรม” ที่คิดค้นขึ้นอย่างละเอียด และบรรยายกระบวนการ “ปรับเปลี่ยน” ที่เป็นวงจร (Action Research Cycles) ระบุกลุ่มเป้าหมาย, เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูล (แบบประเมิน, แบบสังเกต), และวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล

บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล: นำเสนอผลกระทบของนวัตกรรมที่มีต่อผู้เรียน โดยใช้ข้อมูลจากด้านที่ 2 มานำเสนออย่างเป็นระบบ อาจใช้ตาราง, แผนภูมิ, ควบคู่ไปกับข้อมูลเชิงคุณภาพ เช่น ตัวอย่างผลงานนักเรียน หรือคำพูดจากการสัมภาษณ์ เพื่อสร้างเรื่องเล่าที่ทรงพลัง

บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ: ตีความผลการวิจัย, อภิปรายข้อค้นพบโดยเปรียบเทียบกับทฤษฎีในบทที่ 2, ชี้ให้เห็นข้อจำกัดของงานวิจัย, และที่สำคัญคือ อธิบายว่านวัตกรรมนี้สามารถเป็น “แบบอย่างที่ดี” ให้กับครูคนอื่น ๆ ได้อย่างไร

การวิเคราะห์ตัวอย่างผลงานที่ผ่านการประเมิน

จากการศึกษาตัวอย่างผลงานทางวิชาการของครูที่ผ่านการประเมินในระดับเชี่ยวชาญ 6 พบลักษณะร่วมที่สำคัญ ได้แก่: การระบุปัญหาในชั้นเรียนที่ชัดเจนและวัดผลได้, การนำเสนอนวัตกรรมการสอนที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างเป็นขั้นตอน, การใช้ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณ (เช่น คะแนนแบบทดสอบ) และเชิงคุณภาพ (เช่น การวิเคราะห์ชิ้นงาน) เพื่อยืนยันประสิทธิผล, และการอภิปรายผลที่สะท้อนให้เห็นถึงการเรียนรู้ของทั้งนักเรียนและตัวครูผู้สอนเอง

ตารางที่ 3: ตัวอย่างหัวข้อวิจัยที่สอดคล้องกับมาตรฐาน “การคิดค้น”

ระดับการศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้ตัวอย่างสภาพปัญหาตัวอย่างชื่อหัวข้อวิจัย
ปฐมวัยประสบการณ์สำคัญเด็กขาดทักษะการทำงานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาอย่างง่ายการพัฒนารูปแบบการจัดประสบการณ์แบบโครงงานเป็นฐานโดยใช้สถานการณ์จำลองเพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาร่วมกันของเด็กปฐมวัย
ประถมศึกษาคณิตศาสตร์นักเรียนไม่สามารถแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ที่มีความซับซ้อนได้การพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเทคนิคบาร์โมเดล (Bar Model) เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
มัธยมศึกษาภาษาอังกฤษนักเรียนขาดความมั่นใจในการพูดสื่อสารภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริงการพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้แบบภารกิจเป็นฐาน (Task-Based Learning) โดยใช้เกมสถานการณ์จำลอง (Role-Playing Game) เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

บทสรุป: ครูเชี่ยวชาญในฐานะครูนักวิจัย (The Expert Teacher as a Scholar-Practitioner)

สาระสำคัญของรายงานฉบับนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า การขอเลื่อนวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญภายใต้เกณฑ์ ว9/2564 เรียกร้องให้ครูเปลี่ยนบทบาทของตนเอง จากผู้ที่ “ส่งมอบ” หลักสูตร ไปสู่ผู้ที่ “สร้างสรรค์และขัดเกลา” นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ การเดินทางสู่ความเป็นเลิศนี้ไม่ใช่การรวบรวมเอกสาร แต่คือการสร้างเรื่องเล่าแห่งการเติบโตทางวิชาชีพที่จับต้องได้และมีหลักฐานเชิงประจักษ์รองรับ

กระบวนการที่เข้มข้นของเกณฑ์ ว9/2564 แม้จะมีความท้าทายสูง แต่ก็เป็นโอกาสอันดีเยี่ยมในการพัฒนาวิชาชีพอย่างก้าวกระโดด การเข้าสู่วงจรของการคิดค้น, การนำไปใช้, การเก็บข้อมูล, และการปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่จะนำมาซึ่งความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับครูให้กลายเป็นผู้นำทางวิชาการที่สามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่และขับเคลื่อนวงการศึกษาให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแท้จริง

อ่านไฟล์เต็มที่นี่


บรรณานุกรม (Bibliography)

กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.

ทิศนา แขมมณี. (2562). ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ (พิมพ์ครั้งที่ 23). สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

พุทธชาติ ศรีประไพ. (2564). การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานที่ส่งเสริมความสามารถในการสร้างนวัตกรรมของผู้เรียน

วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต,มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

. http://ir-ithesis.swu.ac.th/dspace/bitstream/123456789/1888/1/gs611130009.pdf 28

วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21. มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์.

สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา. (2564ก). หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู (ว 9/2564). กระทรวงศึกษาธิการ. 1

สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา. (2564ข). คู่มือการดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู. กระทรวงศึกษาธิการ. 2

สุคนธ์ สินธพานนท์. (2553). นวัตกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาคุณภาพของเยาวชน. 9119 เทคนิคพริ้นติ้ง.

อนุศร หงษ์ขุนทด. (2565). ตัวอย่างการรายงานผลการพัฒนางานตามข้อตกลง (PA) ว9/2564. ครูคอบดอทคอม. https://krukob.com/web/v9-15/ 29

อานุภาพ เลขะกุล. (2558). Problem-Based Learning. http://teachingresources.psu.ac.th/document/2548/Le_Kha_Kun/PBL.pdf 30

Barrows, H. S. (1996). Problem-based learning in medicine and beyond: A brief overview. In L. Wilkerson & W. H. Gijselaers (Eds.), Bringing problem-based learning to higher education: Theory and practice (pp. 3-12). Jossey-Bass.

Brown, T. (2009). Change by design: How design thinking transforms organizations and inspires innovation. Harper Business.

Larmer, J., Mergendoller, J. R., & Boss, S. (2015). Setting the standard for project based learning: A proven approach to rigorous classroom instruction. ASCD.

Razzouk, R., & Shute, V. (2012). What is design thinking and why is it important? Review of Educational Research, 82(3), 330-348. https://doi.org/10.3102/0034654312457429

เรือนโรจน์รุ่ง, น. (2558). การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวัน และเจตคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2

รายงานการวิจัย

. คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 31

ผลงานที่อ้างอิง

  1. หลักเกณฑ์ ว 9/2564, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.cpn1.go.th/2021/wp-content/uploads/2021/06/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C-%E0%B8%A7-9-PA.pdf
  2. คู่มือ ว.9-2564 – ดาวน์โหลดหนังสือ | 1-50 หน้า | AnyFlip, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://anyflip.com/rbiay/ydes/basic
  3. ดาวน์โหลด คู่มือ วPA ว9/2564 วิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา – ครูเชียงราย, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.kruchiangrai.net/2021/09/03/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%A7pa/
  4. คู่มือการเปลี่ยนผ่าน, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.tsn.ac.th/web/wp-content/uploads/2022/08/31651/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9-%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A7.17-%E0%B8%A721-%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88-%E0%B8%A7.PA_.pdf
  5. แบบคำขอมีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะ ว9 2564.doc, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.rr.ac.th/webrr/attachments/article/95/%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B0%20%E0%B8%A79%202564.doc
  6. เกณฑ์การประเมินผลงานทางวิชาการ คศ4-5 ตามเกณฑ์ ว9/2564 I PA – YouTube, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.youtube.com/watch?v=J9aMdTaKWaA
  7. คู่มือ-ว9 – Flip eBook Pages 1-50 – AnyFlip, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://anyflip.com/azmsq/txbv/basic
  8. สรุปเกณฑ์วิทยฐานะใหม่ ว9/2564 สมบูรณ์ – YouTube, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.youtube.com/watch?v=_ALfAnq6MxU
  9. เหตุผลที่ควรส่งผลงาน ครูเชี่ยวชาญ ตามเกณฑ์ ว9/2564 – YouTube, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.youtube.com/watch?v=eZgXOiHGe4U
  10. คำนำ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://idcneu.com/edneupr/training/vpa/docs/book_pa1.pdf
  11. บทความ – การสอนของครูสู่ผลลัพธ์ของผู้เรียนตามเกณฑ์ วPA – Starfishlabz, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.starfishlabz.com/blog/1402-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%98%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C-%E0%B8%A7pa
  12. แนวทางการดำเนินการ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.phangngaedarea.go.th/site/wp-content/uploads/ita/66/O25/4/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87PA.pdf
  13. หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตาแหน่งและวิทยฐานะ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา – เชียงราย เขต 3, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.cr3.go.th/wp-content/uploads/2022/03/3.-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2-%E0%B8%A79-%E0%B8%A712.pdf
  14. กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) – สำนักงานสภานโยบายการ …, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.nxpo.or.th/th/wp-content/uploads/2019/01/48_TH1.pdf
  15. ใช้ Design Thinking ออกแบบกิจกรรมให้ปิ๊งและปัง – Inskru, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://inskru.com/idea/-MSrYC4ywIAAGAht8BN6/
  16. ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการจัดการเรียนรู้ตามกระบวนการคิดเชิงออกแบบ, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://www.edu.nu.ac.th/th/news/docs/download/2020_09_16_11_24_04.pdf
  17. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน.(Problem based Learning – มหาวิทยาลัยหาดใหญ่, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.hu.ac.th/conference/proceedings2020/doc/G9/G9-32-160Ed-PP_%E0%B9%82%E0%B8%89%E0%B8%A1%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%20%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%87%20(P1532-1543).pdf
  18. Development of Community Problem Based Learning Model to Promote Learning Achievement and Critical Thinking of Nursing Students – ThaiJo, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nmdjournal/article/download/214720/149468/
  19. การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยการใช้ปัญหาเป็ – ThaiJo, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://so06.tci-thaijo.org/index.php/tmd/article/download/257288/174280/968257
  20. PBL: Project-Based Learning หรือ Problem-Based Learning – เข้าใจให้ถูกต้องก่อนนำไปใช้, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://il.mahidol.ac.th/th/i-learning-clinic/lecturer-and-learning-management-articles/pbl-project-based-learning-%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD-problem-based-learning-%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%96%E0%B8%B9/
  21. PBL: Project Base Learning – การเรียนรู้สู่การปฏิบัติจริงโดยใช้โครงงานเป็นฐาน – สำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน – มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://apr.nsru.ac.th/KM/myfile/20160826162610_%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%20km.pdf
  22. การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมก – มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://nakhonnayok.dusit.ac.th/wp-content/uploads/2024/04/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD.%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%94.pdf
  23. การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานร่วมกับแนวคิดห้องเรียน กลับด้านเพื่อส่งเสริมสมรรถนะด้านการสร้างนวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ และผลสัมฤทธิ์ – RSUIR at Rangsit University, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://rsuir-library.rsu.ac.th/bitstream/123456789/1684/1/CHIDCHAMAI%20VISUTTAKUL.pdf
  24. ตัวอย่างการเขียน บทที่ 1 ผลงานทางวิชาการเพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากร …, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://krukob.com/web/research/
  25. เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ – ครูไอทีดอทคอม, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://krooit.com/archives/category/share
  26. เผยแพร่ผลงานครู – t4.ac.th, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://t4.ac.th/index.php/11-2019-04-28-16-24-14
  27. เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสงขลา สตูล, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://www.spmsongkhlasatun.go.th/success
  28. การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานที่ส่ T – DSpace at Srinakharinwirot University, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 http://ir-ithesis.swu.ac.th/dspace/bitstream/123456789/1888/1/gs611130009.pdf
  29. ตัวอย่างการรายงานผลการพัฒนางานตามข้อตกลง (PA) ว9/2564 », เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://krukob.com/web/v9-15/
  30. แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้PBL ส าหรับนักศึ Le – ThaiJo, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/download/220622/165024/
  31. รายงานการวิจัย เรื่อง การจัดการเรียนรู้โดยใช, เข้าถึงเมื่อ กันยายน 12, 2025 https://cuir.car.chula.ac.th/dspace/bitstream/123456789/47689/3/Noppasorn_Ru.pdf

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!